ปธ.สภาอุตสาหกรรมฯ เผย แนะ 8 ข้อเสนอรัฐบาล แบ่งเรื่องเร่งด่วน 5 ข้อ และเรื่องระยะกลางและระยะยาว 3 ข้อ ยันเห็นด้วยเปลี่ยนรูปแบบมาแจกเงินสด ดิจิทัลวอลเล็ต ให้กลุ่มเปราะบาง และอยากให้นำเงินไปซื้อสินค้า Made in Thailand
วันนี้ (23ส.ค.) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ทางสภาอุตสาหกรรมได้มีข้อเสนอไปยังรัฐบาล 8 ข้อ ประกอบด้วย เรื่องเร่งด่วน 5 ข้อ และเรื่องระยะกลางและระยะยาว 3 ข้อ
เรื่องแรก ได้มีข้อเสนอการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทย เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ทะลักเข้ามาในประเทศไทย ส่งผลให้โรงงาน SME ประสบปัญหาหนักมาก และจากม.ค.-มิ.ย.67 มีโรงงานปิดตัวไปแล้ว 667 แห่ง ขณะที่อุตสาหกรรมใหม่ที่เข้ามาเป็นโรงงานขนาดใหญ่ของต่างชาติเกือบหมด โดยอยากให้รัฐบาลมีมาตรการแก้ไขและป้องกันสินค้าจากต่างประเทศไหลทะลักเข้ามา และอยากให้รัฐบาลเพิ่มอุปกรณ์ในการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ให้เพียงพอ และกำกับดูแล บังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มข้นและอยู่ในกรอบข้อตกลงระหว่างประเทศ
เรื่องที่ 2 ฝากให้รัฐบาลช่วยดูแลต้นทุนของSME โดยเฉพาะเรื่องค่าไฟ ค่าพลังงาน ซึ่งอยากให้รัฐบาลมีการตั้งกรอ.พลังงานมาช่วยกำกับดูแลให้เกิดความสมดุลระหว่างพลังงานในระบบเดิมกับพลังงานหมุนเวียนในราคาที่เหมาะสม ใช้เทคโนโลยีทำให้เอกชนสามารถซื้อขายได้อย่างเสรี
เรื่องที่ 3 เรื่องต้นทุนแรงงาน โดยปัจจุบันSME อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านและอยู่ในช่วงฟื้นตัว จึงอาจพิจารณาชะลอการขึ้นค่าแรงให้เหมาะสม แต่หากมีการปรับขึ้นค่าแรงทางสภาอุตสาหกรรมไม่ได้คัดค้าน แต่อยากให้ผ่านกลไกไตรภาคี พร้อมกับฝากให้มีการพัฒนาฝีมือแรงงานให้มากขึ้น
เรื่องที่ 4 เรื่องโลจิสติกส์และการค้าตามแนวชายแดน อยากให้รัฐบาลมีการปรับปรุงด่านชั่วคราวให้เป็นด่านถาวรทั้งหมด รวมถึง การขยายเวลารถบรรทุกให้เหมาะสม
เรื่องที่ 5 ปัญหา SME โดยเสนอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน SME ไปสู่การใช้ดิจิทัล และเอไอมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน และ SME ต้องมีนวัตกรรม โดยเสนอให้ภาครัฐมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนด้านนวัตกรรม และต้องผลักดันให้ SME ไปทั่วโลก โดยเฉพาะการส่งเสริมเข้าสู่ซัพพลายเชน ของอุตสาหกรรมใหม่ๆ
สำหรับเรื่องระยะกลาง ฝากให้รัฐบาลช่วยเรื่องการส่งเสริมสินค้า Made in Thailand โดยให้ผู้ประกอบการต่างๆเข้ามาอยู่ในโครงการนี้ เพื่อมีใบรับรองตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ในปี 66 สินค้า Made in Thailand เข้าไปอยู่ในสัดส่วนแบ่งการตลาดในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐแล้ว 1.02 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าจะขยับส่วนแบ่งตลาดไปถึง 80 % งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างจะอยู่ในประเทศ อย่างน้อย 5.5 แสนล้านบาท จะช่วยทำให้สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และได้นำเสนอให้เอกชนไทยซื้อสินค้า Made in Thailand มากขึ้น และสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
สำหรับเรื่องระยะยาว มีข้อเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน โดยอยากให้รัฐบาลมีมาตรการในการรักษาและสนับสนุนซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เป็นSME จำนวนมาก รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรร หรือ ซอฟพาวเวอร์ โดยมีไอเดียต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางจิเวลรี่ เครื่องประดับของโลก เพื่อแทนประเทศฮ่องกงที่เริ่มถดถอย ซึ่งด้านจิวเวลรี่ จะช่วยให้ไทยมีมูลค่าปีละไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท นอกจากนี้มีการเสนอให้รัฐบาลมีการปรับปรุงกฏหมาย เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจมากขึ้น
นอกจากนี้ นายเกรียงไกร ยืนยันว่า เห็นด้วยกับแนวคิดการเปลี่ยนรูปแบบ มาแจกเงินสดในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ให้กับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งรูปแบบเหมือนประเทศสิงค์โปร์ พร้อมกับมีข้อเสนอว่า อยากให้นำเงินที่ได้มาควรนำไปซื้อสินค้า Made in Thailand