"ไทยภักดี" ยื่น กกต.สอบย้อนหลังพรรคถิ่นกาขาว ก่อนถูกเทกโอเวอร์และเปลี่ยนชื่อเป็นประชาชน ตั้งสาขาพรรคครบ 4 สาขาหรือไม่ พร้อมสอบการรับบริจาคเงินเข้าบัญชีใคร เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ชี้สุ่มเสี่ยงหลอกลวงประชาชน ไม่เห็นด้วยแก้กฎหมายเลิกยุบพรรค จะทำให้ไร้เครื่องมือจัดการพรรคการเมืองที่บ่อนทำลายสถาบัน เชื่อหากพรรคประชาชนไม่ลดเพดานแก้ ม.112 อาจเจอยุบซ้ำรอยก้าวไกล
วันนี้(13 ส.ค.)พรรคไทยภักดี นำโดยนายทศพล พรหมเกตุ เลขาธิการพรรค ยื่นหนังสือต่อกกต.ขอให้ตรวจสอบการมีสาขาพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล จากระบบฐานข้อมูลพรรคการเมืองย้อนหลัง โดยนายทศพล กล่าวว่า ขอให้กกต.ตรวจสอบข้อเท็จจริงใน 2 ประเด็น ที่เกี่ยวเนื่องกับพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล และพรรคประชาชน
1. จากการตรวจสอบข้อมูลของกกต. ณ ปัจจุบันพบว่าพรรคถิ่นกาขาวทำวิไล มีสาขาพรรคเพียง 3 สาขา คือ ภาคกลาง 2 สาขา และภาคเหนือ 1 สาขา ซึ่งอาจสิ้นสภาพการเป็นพรรคการเมืองตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 91 (3) ที่บัญญัติว่าพรรคการเมืองย่อมสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองเมื่อภายหลังจากที่ดำเนินการครบตามมาตรา 33 (2) มีจำนวนสาขาพรรคการเมืองเหลือไม่ถึงภาคละ 1 สาขาเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 1 ปี วันนี้จึงมาขอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองของกกต.ตรวจสอบฐานข้อมูลย้อนหลังว่าพรรคถิ่นกาขาวชาวิไลหรือพรรคประชาชน มีจำนวนสาขาในแต่ละปีเท่าไหร่ในแต่ละภาค ซึ่งถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2560 นับตั้งแต่พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลบังคับใช้ หากมีสาขาไม่ครบ 4 ภาคเป็นระยะเวลา 1 ปี เป็นหน้าที่ของกกต.ที่จะดำเนินการมีคำสั่งให้พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพ ซึ่งการที่มีข้อมูลระบุว่าปัจจุบันได้มีการอัพเดทแล้วมีสาขาพรรคครบ 4 ภาคนั้นไม่ใช่ประเด็น แต่อยากให้กกต.ตรวจสอบย้อนหลังกลับไปเป็นรายปีเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ประจักษ์ชัด
2.ได้รับข้อมูลว่าวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา พรรคถิ่นกาขาวชาววิไลได้จัดประชุมใหญ่ โดยมีมติเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชน ตราสัญลักษณ์พรรค และเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ อีกทั้งเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคเงินให้กับพรรค โดยเป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการรับบริจาคของพรรคการเมืองต้องเป็นไปตามข้อ 42 ของระเบียบกกต.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2563 ที่ให้อำนาจหัวหน้าพรรคและเหรัญญิก เป็นผู้เปิดบัญชีธนาคารพาณิชย์ โดยมีหลักฐานสำคัญประกอบการเปิดบัญชีคือ หนังสือรับรองรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคจากกกต. โดยวงเล็บว่าเพื่อการบริจาค ซึ่งการรับรองจากกกต.มีระยะเวลาในการดำเนินการ ไม่ใช่ว่าประชุมวันนี้แล้วมีหนังสือรับรองไปเลย ยกตัวอย่างพรรคไทยภักดีที่มีการจัดประชุมใหญ่ เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค เมื่อวันที่ 28 เม.ย. จนถึงวันนี้ เราก็ยังไม่ได้รับหนังสือจากกกต.ว่ารับรองคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาผ่านมาแล้ว 3 เดือน ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พรรคประชาชนจะได้รับหนังสือรับรองกรรมการบริหารพรรคจากกกต. เราจึงเรียนถามนายทะเบียนพรรคการเมืองว่ากกต. ได้ให้การรับรองชื่อพรรค ตราสัญลักษณ์พรรค กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่กับพรรคประชาชนแล้วหรือไม่ เพื่อมีหนังสือประกอบหลักฐานกับธนาคารพาณิชย์จึงขอถามว่ากกต.ได้ให้การรับรองไปแล้วหรือไม่ ถ้ายังก็ให้กกต. ตรวจสอบการรับบริจาคเงินดังกล่าวจากประชาชนว่าเป็นไปตามข้อ 42 หรือไม่ และที่สำคัญอาจจะเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดหรือไม่ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญาจะเป็นหน้าที่ของกกต.ในการตรวจสอบ
ส่วนกรณีจะมีเลือกตั้งซ่อม ส.ส.พิษณุโลกเขต 1 นายทศพล กล่าวว่า ในส่วนของพรรคไทยภักดี การส่งผู้สมัคร สส. ลงเลือกตั้ง เป็นอำนาจตามมติของกรรมการบริหารพรรค ซึ่งตอนนี้เรายังไม่ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาในประเด็นนี้ อยู่ระหว่างการพูดคุยกันอยู่ขอให้รอติดตามต่อไป
นายทศพล ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาชน ยืนยัน จะไม่ลดเพดานการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ว่า คำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญออก ค่อนข้างมีรายละเอียดที่ชัดเจน ครอบคลุมรอบด้านแล้ว หากคนที่อ่านกฎหมายเป็นก็จะรู้ว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองฯ หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ ชัดเจนอยู่แล้ว
สิ่งดังกล่าวควรทำหรือไม่ ทุกคนรู้อยู่แล้ว เพราะระบอบการปกครองของประเทศเราคือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสถาบันเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งระบอบของเราประกอบด้วย 3 ขาหลัก ได้แก่ พระมหากษัตริย์, นักการเมือง และประชาชน ที่จะต้องอยู่ด้วยกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพรรคประชาชนยังเดินหน้าเรื่องการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 จะทำให้พรรคประชาชนซ้ำรอยกับพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายทศพล กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ อยู่ที่ว่าเงื่อนไขเขาเป็นแบบไหน หากเป็นแบบเดิมก็ถูกยุบเหมือนเดิม เพราะเข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ ชัดเจน
นายทศพล ยืนยันด้วยว่า พรรคไทยภักดี ไม่เห็นด้วยกับการแก้ พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง เกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง เพราะบางพรรคการเมือง เราเห็นชัดเจนว่าเขามีการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ และเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ จริงๆ หากไม่มีการยุบพรรคการเมือง แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะหยุดยัั้งการกระทำดังกล่าว ที่เป็นภัยความมั่นคงของรัฐ