ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ถึงที "แอน-จักรพงษ์" เอาคืน "จักรพันธ์" ฟ้องกลับจากเหตุ "Muคอยน์"
ศึกโรมรันพันตูกันระหว่าง "สองจักร" จักรพงษ์ VS จักรพันธ์ ปะทุอีกครั้ง
แต่ครานี้ เจ้าแม่เจเคเอ็น "แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN กุมความได้เปรียบอย่างเฉียบขาด
ด้วยว่า กรณีเธอ และ บริษัทฯ ถูก"จักรพันธ์ ปุณยปภา" ผู้บริหาร บริษัท ที ซี จี โซเชียล มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (TCG Social Media Group) ฟ้องหมิ่น เรียกค่าเสียหายมูลค่า 1,000 ล้าน !
ปรากฏว่า ศาลอาญาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องของ TCG โจทก์แล้ว เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่มีมูล
ศาลอาญาจึงได้มีคำพิพากษายกฟ้องของโจทก์ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567
ทอดเวลามาไม่นานนักถึงล่าสุด แอน-จักรพงษ์ และ JKN ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ยื่นฟ้องร้อง TCG เป็นคดีอาญาต่อศาลในข้อหาฟ้องเท็จ และข้อหาหมิ่นประมาท โดยศาลอาญาได้นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 19 สิงหาคม นี้
เรียกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน ฟ้องมาก็ฟ้องกลับ เพราะ เมื่อ TCG ได้ใช้สิทธิฟ้องร้องคดีต่อบริษัท และบรรดาผู้บริหารโดยไม่สุจริต ทำให้ได้รับความเสียหายต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียง
เรื่องราวของการก่อศึก "สองจักร" นี้ก็ต้องเท้าความกันก่อนหน้านี้ ช่วงวันที่ 25 กันยายน 2566 ที่ “จักรพันธ์” ฟ้อง “จักรพงษ์ และ JKN” โดยกล่าวหาว่า
ทั้งสองได้โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ผ่านสื่อออนไลน์ เกี่ยวกับการที่ TCG ได้ออกเหรียญ Miss Universe Coin อันเป็นเท็จ ทําให้ TCG ได้รับความเสียหาย
ต่อมา TCG โดย จักรพันธ์ ตั้งโต๊ะแถลง เปิดวอร์เต็มรูปแบบว่า ทั้งๆ ที่รู้จักกันในฐานะหุ้นส่วน ต้องมาฟ้องคดีกัน เพราะ โพสต์ของ JKN นั้น ระบุว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ MU Coin ใดๆ ทั้งสิ้น และ ยังระบุว่าเหรียญ MU Coin เป็นเหรียญสแกม ซึ่งบริษัทมองว่าถูกดิสเครดิต รับไม่ได้จึงต้องเรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้าน
ทว่า ฝ่าย “แอน จักรพงษ์ และ JKN” ก็ต่อสู้ตอบโต้ว่า เพราะ ฝ่ายบริหารของบริษัทฯ เห็นว่า บริษัทฯ และแอน-จักรพงษ์ โพสต์เช่นนั้น ถือว่าได้ประกาศข้อความแจ้งเตือนประชาชน และนักลงทุน ซึ่งเป็นการกระทําที่สุจริต และ เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ดังเช่นฉะนี้ เมื่อชนะคดี วันนี้จึงเป็นทีของ "เจ้าแม่เจเคเอ็น" จะเอาคืนคู่กรณี การศึกยกนี้ จะจบลงอย่างไรก็ต้องติดตามกันต่อไป
++ “เพื่อไทย” หรือ “พลังประชารัฐ” ใครจะลงเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก สู้กับพรรคประชาชน
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคจำนวน 11 คน เป็นเวลา 10 ปี ในจำนวนนี้ก็มี “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 และ สส.พิษณุโลก เขต 1 รวมอยู่ด้วย
ทำให้ต้องมีการเลือก รองประธานสภาฯ กันใหม่ และเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 1 พิษณุโลก
ตำแหน่งรองประธานสภาฯ นั้น พรรคร่วมรัฐบาลตกลงกันแล้วว่า ให้เป็นโควตาของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งทางพรรคจะส่ง “ภราดร ปริศนานันทกุล” รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มาเป็นรองประธานสภาคนที่ 1
ส่วนการเลือกตั้งซ่อมสส.เขต 1 พิษณุโลก นั้น ทางพรรคประชาชน (พรรคใหม่ของก้าวไกล) มีมติ ส่ง “โฟล์ค” ณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์” ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยเพิ่งทำไพรมารีโหวต และผ่านฉลุยไปเมื่อวานนี้ ( 12ส.ค.)
“โฟล์ค ณฐชนน” จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม และระดับปริญญาตรี ที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาลัยนานาชาติ สาขานิติศาสตร์ ปัจจุบันอายุ 34 ปี มีอาชีพเป็นเจ้าของธุรกิจ และร่วมทำงานการเมือง กับอดีตพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล มาตลอด และมีความใกล้ชิดกับ “หมออ๋อง” เป็นพิเศษ เมื่อ หมออ๋อง เข้าไปทำงานในสภา “โฟล์ค” ก็ทำงานในพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนแทนหมออ๋อง
นอกจากประกอบธุรกิจ ที่ หจก.พิษณุโลกไทยนครหล่อยาง ยังเคยเป็นอดีตประธาน YEC หอการค้าจังหวัดพิษณุโลก, อดีตประธาน Young FTI สภาอุตสาหกรรมจังหวัดพิษณุโลก , เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว สส. ปดิพัทธ์ สันติภาดา, คณะทำงานประจำตัวรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ตำแหน่งนักวิชาการ และ เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการทหารประจำจังหวัดพิษณุโลก ด้วย
ส่วนคนที่จะมาเป็นคู่แข่งของ “โฟล์ค ณฐชนน” นั้น หากย้อนไปดูผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 2566 จะพบว่า “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” หรือ หมออ๋อง แชมป์เก่าชนะมาเป็นที่ 1 ด้วยคะแนน 40,198 คะแนน ทิ้งห่าง อันดับ 2 “อดุลย์วิทย์ วิวัฒน์ธนาฒย์” หรือ “สจ.อั้ม” อดีต สจ.พิษณุโลก จากพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้18,685 คะแนน และ อันดับ 3 “น.ส.ณัฐทรัชต์ ชามพูนท” จากพรรคเพื่อไทย ที่ได้ 17,778 คะแนน
จะเห็นว่า ผู้ที่ได้อันดับที่ 2 และที่ 3 นั้น ขณะนี้เป็นฝ่ายรัฐบาลทั้งคู่ หากจะส่งลงสู้กับ “โฟล์ค ณฐชนน” ซึ่งเป็นตัวแทนจากฝ่ายค้าน ก็ควรจะเลือกคนใดคนหนึ่งลงไปสู้ จะได้ไม่ตัดคะแนนกันเอง
แต่เมื่อมาดูผลคะแนน ระหว่างคนของพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ที่ 2 กับคนของพรรคเพื่อไทย ที่ได้ที่ 3 นั้น คะแนนห่างกันเพียง 907 คะแนนเท่านั้น
จึงเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากพอสมควร ว่าจะส่งใครดี
ล่าสุด “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะ “ผู้จัดการรัฐบาล” ได้เชิญแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลมาหารือในเรื่องนี้ แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ จึงให้ตัวแทนแทนพรรคเพื่อไทย ไปหารือกับตัวแทนพรรคพลังประชารัฐอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ มีการคาดหมายว่าจะมีการเปิดรับสมัครในวันที่ 21 ส.ค. และเลือกตั้งวันที่ 15 ก.ย.นี้
หากฝ่ายรัฐบาลส่งคนของพรรคพลังประชารัฐลงสนามเลือกตั้ง ก็จะได้เห็นฝีไม้ลายมือ การวางแผน เดินเกมของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมผ่า” ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และอาจได้เห็น “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ลงพื้นที่ช่วยหาเสียงด้วย
แต่ถ้าเป็นของพรรคเพื่อไทยลงสู้ศึก นอกจากจะได้เห็นลีลาหาเสียงของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคแล้ว เราก็อาจจะได้เห็น “ทักษิณ ชินวัตร” พ่อของหัวหน้าพรรค ขึ้นเวทีปราศรัยในฐานะผู้ช่วยหาเสียง เพราะเขากำลังจะพ้นโทษในวันที่ 31 ส.ค.นี้แล้ว
ต้องติดตามว่า ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพลังประชารัฐ ใครจะได้ส่งตัวแทนลงสู้ศึกครั้งนี้