xs
xsm
sm
md
lg

เจ้าป่าสีชมพู "ลุงป้อม" Happy เช็กเรตติ้งย่าง 80ปี บารมียังไหว !? ** พรรคประชาชน เพิ่งตั้งไข่ ก็งานเข้า ด้วยกติกาตั้งสาขาพรรคยังไม่ครบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว



++ เจ้าป่าสีชมพู "ลุงป้อม" Happy เช็กเรตติ้งย่าง 80ปี บารมียังไหว !?

เจ้าของวลี "ใจบันดาลแรง" ลุงป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตพี่ใหญ่ "3ป." ของ คสช.เปิดบ้านป่ารอยต่อฯ ต้อนรับแขกผู้มาเยือนที่มาอวยพรในวันคล้ายวันเกิด 11สิงหาคม ฟังว่า บรรยากาศเป็นไปอย่างครึกครื้น ชื่นมื่นยิ่ง

ลุงป้อมเจ้าป่าฯ ที่มาในชุดวอร์ม เสื้อแจ๊กเก็ตสีชมพูดูสดชื่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอิ่มเอมใจแค่ไหน

แม้ว่าแขกที่มา จะเป็นคนคุ้นเคย สมาชิกพรรค อดีต สว.สายอุปถัมภ์ค้ำจุนกันมา แต่หากกวาดสายตาไปในงาน ก็ยังมี "ป.ป๊อก" ลุงป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา น้องรักใน 3 ป. อดีต รมว.มหาดไทย ยังมี "ป.แป๊ะ" บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นั่งร่วมโต๊ะ

รวมไปถึงบรรดา "นายพล" คนกันเอง เช่น พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตประธานที่ปรึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

นอกจากนี้ยังมีบรรดาคนสนิทจากหลากหลายวงการ เช่น “พรเพชร วิชิตชลชัย” อดีตประธานวุฒิสภา “สุรทิน พิจารณ์” พรรคประชาธิปไตยใหม่ "นักร้องดัง" เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ มาร่วมอวยพร

ฟังว่า “ลุงป้อม” ต้อนรับขับสู้ ในฐานะเจ้าป่าอย่างกันเอง พร้อมทั้งมอบของชำร่วย เป็นผ้าห่มลายไก่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ปีเกิดของตัวเองสำหรับสุภาพบุรุษ ส่วนสุภาพสตรี จะได้รับเป็นผ้าพันคอลายไก่ ไปเป็นที่ระลึก

งานนี้ก็ต้องบอกว่า เบิร์ธเดย์ ปีนี้ ดูลุงป้อมแฮปปี้ๆ อายุครบ 79 ย่าง 80ปี ถอว่าเป็นผู้สูงวัย ในกระแสที่เชี่ยวกรากของการเมือง “ 3ป.”แห่ง คสช.ในตำนาน ก็เหลือ “ลุงป้อม”เพียงคนเดียว ที่ยังเวียนวนคลุกวงในแวดวงการเมืองที่ลุงก็รู้ "ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร"

อย่างที่ลุงเคยบอกใช้ "ใจบันดาลแรง" วันนี้ชายวัยล่วงเข้า 80ปี ไม่ได้แสดงออกว่ายักแย่ ยักยัน คอนเฟิร์มว่า ร่างกายยังไหว และได้ยาชูกำลังจากแขกผู้มาอวยพร "ขอให้อยู่เป็นหลักชัยให้บ้านเมืองนานๆ" อย่างนี้ ไม่ให้ลุงแฮปปี้ได้อย่างไร...แถมได้เช็กเรตติ้ง เช็กบารมีอีกต่างหาก ว่ายังไหวอยู่ไหม!? นะจ๊ะ.


++ พรรคประชาชน เพิ่งตั้งไข่ ก็งานเข้า ด้วยกติกาตั้งสาขาพรรคยังไม่ครบ

ขณะที่ “พรรคประชาชน” กำลังเป็นปลื้ม กับยอดเงินบริจาคทะลุ 20 ล้านบาท ใน 32 ชม. และมี “ติ่งส้ม”มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้วเกือบ 40,000 คน ภายในเวลา 2 วัน ... ก็มีข่าวชวนผวาว่า พรรคจะถูกยุบอีกแล้ว

คนที่จุดพลุขึ้นมาคือ “หมอวรงค์”นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี “ฝ่ายค้านแห่งชาติ” โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า เตรียมไปยื่นเรื่องร้องเรียนยุบพรรคประชาชน

ทั้งนี้ เนื่องจาก “พรรคประชาชน” เกิดจากการเอา “พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล” มาเปลี่ยนชื่อ แต่เมื่อไปตรวจสอบเว็บไซต์ กกต. พบว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล เพิ่งมีสาขาพรรคแค่ 3 สาขา ภาคเหนือ 2 สาขา และภาคกลาง 1 สาขา ไม่มีสาขาภาคใต้ และภาคอีสาน

ตามกฎหมายพรรคการเมือง กำหนดไว้ว่า พรรคการเมืองย่อมสิ้นสภาพ ถ้ามีสาขาพรรคการเมืองเหลือไม่ถึงภาคละ 1 สาขา เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 1 ปี นั่นคือ ต้องมีสาขาครบทั้ง 4 ภาค ติดต่อกัน 1 ปี ถ้าไม่ครบ พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ก็ต้องสิ้นสภาพ

นั่นหมายความว่า พรรคประชาชน จะไม่สามารถนำพรรคที่สิ้นสภาพ มาทำการเปลี่ยนชื่อพรรคได้

ดังนั้น พรรคไทยภักดี จะไปยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบ และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป

เมื่อ “หมอวรงค์” โพสต์มาอย่างนี้ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต. ก็ออกมาแจมว่า ถ้าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ยังมีสาขาพรรคไม่ครบภูมิภาค ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด ก็เป็นหน้าที่ของ กกต. จะต้องดำเนินการส่งศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณายุบพรรคได้เลย ไม่ต้องรอให้มีใครมายื่นร้องเรียน ถ้า กกต.รู้แล้วยังเฉย ก็จะถือว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่ เพราะเรื่องนี้ไม่ต้องสอบอะไร แค่ไปดูข้อมูล ก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร

ขณะที่ “เจ๊เจี๊ยบ” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ตอนนี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ในฐานะที่เป็นกรรมการบริหารพรรค ก็ออกมายืนยันว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ก่อนที่จะมาสวมชื่อเป็นพรรคประชาชนนั้น มีสาขาครบทั้ง 4 ภาคแล้ว คือ ภาคเหนือ ที่ จ.นครสวรรค์ ภาคกลาง จ.ราชบุรี ภาคอีสาน ที่ จ.สกลนคร และภาคใต้ ที่ จ.นครศรีธรรมราช

การที่ “หมอวรงค์” ออกมาโพสต์เช่นนั้น เพราะไม่อัปเดตข้อมูล

. ขณะที่ “ภคมน หนุนอนันต์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่มั่นใจว่า พรรคประชาชน มีสาขาพรรค ครบทั้ง 4 ภาค แล้ว เพียงแต่ข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์ของ กกต. ยังไม่อัปเดตเท่านั้น ก็ออกมาร่วมแดกดัน “หมอวรงค์”ว่า คงเป็นเพราะแพ้เลือกตั้งซ้ำซาก จนเบลอ ถ้าแน่จริงก็มาลงเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 ที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ จะได้รู้ว่าชาวบ้านยังสนับสนุนอยู่ หรือไม่

เมื่อเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ค้างคาใจของสังคม ว่าตกลงอันไหนจริง อันไหนเท็จ กันแน่

และแล้ว “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ก็ออกมาเฉลย ว่า ตามกฎหมายพรรคการเมือง ทุกกิจกรรมของพรรคจะสมบูรณ์ทันที เมื่อพรรคได้ดำเนินการ แต่เมื่อยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว หากพบว่า ดำเนินการไม่ถูกต้อง ก็จะมีผลย้อนหลังให้การกระทำนั้นเสียไป ซึ่งในกรณีการจัดตั้งสาขาพรรคของพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลนั้น พบว่าเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ มีการประชุมจัดตั้งสาขาพรรค ในส่วนที่ขาดอยู่จนครบ และระยะเวลาการจัดตั้งก็อยู่ภายใน 1 ปี ที่กฎหมายกำหนด ขณะนี้มีการจะส่งเรื่องมาให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบตามขั้นตอน

" เรื่องเพิ่งเสนอมาถึงสำนักงาน กกต. ซึ่งโดยปกติการประชุมจัดตั้งสาขาพรรค นายทะเบียนพรรคการเมือง จะส่งเจ้าหน้าที่ ไปสังเกตการณ์อยู่แล้ว เมื่อประชุมแล้วเสร็จ กิจกรรมนั้นจะมีผลทางกฎหมายทันที แต่ขั้นตอนทางกฎหมาย กำหนดว่า ต้องส่งนายทะเบียนพรรคการเมืองรับทราบ ซึ่งนายทะเบียนฯ ก็จะตรวจสอบก่อนว่า การจัดตั้งนั้น ตั้งในเขตพื้นที่ถูกต้องหรือไม่ สมาชิกมาประชุมครบตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ถ้าการประชุมถูกต้อง ก็ไม่มีปัญหา นายทะเบียนฯก็รับทราบ แต่ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ถูกต้อง ก็จะมีผลให้การประชุมนั้นเสียไป ต้องไปดำเนินการให้ถูกต้องใหม่ และตราบใดที่นายทะเบียนพรรคการเมือง ยังไม่รับทราบ ก็จะยังไม่มีการลงในระบบฐานข้อมูลของสำนักงาน กกต. จึงทำให้ ณ.ปัจจุบัน ข้อมูลนี้ยังไม่ปรากฏบนเว็บไซต์ของ กกต.”

นายทะเบียนพรรคการเมืองยังบอกว่า ทราบว่าขณะนี้ พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล กำลังดำเนินการจัดตั้งสาขาพรรคอีกหนึ่งแห่ง ที่ จ.พิษณุโลก ซึ่งถ้ามีการประชุมจัดตั้งแล้วเสร็จ ก็จะสามารถดำเนินการขั้นตอนเรื่องของการจัดส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างได้ทันที

ก็เป็นอันว่า เคลียร์คัตตัดจบกันไปว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล หรือในชื่อใหม่ว่า พรรคประชาชน จะไม่ถูกยุบด้วยเรื่องตั้งสาขาพรรคไม่ครบ

แต่ที่น่ากังวลคือ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ประกาศทันทีที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค ว่า พร้อมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในอนาคต และจะนำพาพรรคให้ชนะเลือกตั้งในปี 2570 แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อเป็นรัฐบาลพรรคเดียว และพรรคประชาชน จะไม่ลดเพดานทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่อง มาตรา112 แต่จะดำเนินการโดยไม่ประมาท ต้องรอบคอบ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้สั่งห้ามแก้ พรรคจึงต้องผลักดันการแก้กฎหมาย ม.112 ต่อไป

ทั้งนี้ การแก้ไข ม.112 ถ้าเป็นกระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ก็คงไม่มีปัญหาถูกยุบพรรค

แต่ที่ผ่านมา มีการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่สุจริต ผิดวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ มุ่งปลุกปั่นว่า การมีอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นปัญหาของชาติ พยายามจัดกิจกรรม จัดชุมนุม รณรงค์ผ่านสื่อ และสอดประสานกับกลุ่มต่างๆ ใช้โซเชียลใส่ร้าย ทำลาย ปล่อยแฟลชม็อบออกมาอาละวาด ด่าทอ เกิดคดี 112 ถูกจับกุมเป็นร้อยคดี นั่นจึงเป็นที่มาของการร้องยุบพรรค

ถ้าพรรคประชาชนไม่สรุปบทเรียน ยังคงท้าทายแบบเดิมๆ ตามที่ “ผู้นำจิตวิญญาณ” ยุยง ปลูกฝัง ก็คงไม่แคล้วถูกยุบพรรคอีกรอบ


กำลังโหลดความคิดเห็น