ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ มติเอกฉันท์ ยุบก้าวไกล ล้มล้างการปกครอง จับตาเปิดตัวพรรคใหม่ 9 ส.ค.นี้ ใครจะเป็นผู้นำรุ่น 3
รู้ดำ รู้แดงกันไปแล้ว สำหรับพรรคก้าวไกล เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 สั่งยุบพรรค และ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คณะกรรมการบริหารพรรค โดยห้ามมิให้ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ เป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง
ก่อนที่จะมาถึงคำตัดสินยุบพรรค ศาลได้อ่านคำวินิจฉัย ชี้แจง หักล้าง ในประเด็นสำคัญ ทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ที่พรรคก้าวไกล ยกขึ้นมาสู้คดี เพื่อให้เกิดความกระจ่าง จะได้ไม่เกิดกระแสต่อต้าน โต้แย้ง อาทิ เรื่องศาลไม่มีอำนาจยุบพรรค ... กกต.ไม่มีอำนาจหน้าที่ ในการยื่นเรื่องยุบพรรค
โดยศาลรัฐธรรมนูญ ชี้แจงว่า ศาลฯ มีอำนาจรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ ซึ่งการยื่นคำร้องต่อศาลฯ เพื่อยุบพรรคการเมือง เกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี ได้แก่ 1. กกต.มี “หลักฐานอันควรเชื่อได้” ว่า พรรคการเมืองใดได้กระทำการที่เข้าลักษณะตาม มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (4) และ 2. “เมื่อปรากฏ” ต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า พรรคการเมืองใด กระทำการตาม มาตรา 92 นายทะเบียนพรรคการเมือง ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน เพื่อเสนอความเห็นต่อ กกต. ตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง 2566
ดังนั้น เมื่อ กกต.มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองมีการกระทำที่เข้าลักษณะที่กฎหมายบัญญัติ ก็ย่อมมีอำนาจยื่น คำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
ส่วนที่ว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 กับคดีใหม่ที่ศาลฯ พิจารณานี้ เป็นคนละส่วนกัน ไม่สามารถเอามาผูกโยงเป็นเรื่องเดียวกัน จนนำไปสู่การยุบพรรคได้นั้น
ศาลชี้แจงว่า คดีนี้ กับคดีตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 เป็นคดีที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน และมูลคดี เดียวกัน ศาลฯย่อมไต่สวนพยานหลักฐานในมาตรฐานเดียวกัน เมื่อศาลฯ ฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ ยุติแล้ว ใน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 ระบุว่า พฤติการณ์ของพรรคก้าวไกล เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพ เพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 วรรคสี่ บัญญัติว่า “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ”
ดังนั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าว ย่อมต้องผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ ในการพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ด้วย
ศาลรัฐธรรมนูญ ยัง “อบรมมารยาท” ในเรื่องที่พรรคก้าวไกล พยายามดึงนักวิชาการ นักการเมือง ตลอดจน นักการทูตของต่างประเทศ มาร่วมกดดันศาลฯ ว่า ไม่ว่าประเทศใด ต่างก็มีรัฐธรรมนูญ และกฎหมายภายในประเทศ รวมทั้งข้อกำหนดของตนที่แตกต่างกันไป ตามบริบทของแต่ละประเทศ ซึ่งการแสดงความเห็นใดๆ ย่อมต้องมีมารยาทสากลทางการทูต และการต่างประเทศ ที่พึงปฏิบัติต่อกันด้วย...
นอกจากนี้ ศาลฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 เสียง สั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในระหว่าง วันที่ 25 มี.ค.64 – วันที่ 31 ม.ค. 67 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการกระทำอันเป็นเหตุให้ยุบพรรค มีกำหนดเวลา10 ปี
เมื่อตรวจดูช่วงเวลาแล้ว ปรากฏว่า มีคณะกรรมการบริหารพรรค 2 ชุด ที่ถูกตัดสิทธิ์ คือ ชุดที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”เป็นหัวหน้าพรรค กับชุดที่ “ชัยธวัช ตุลาธน” เป็นหัวหน้าพรรค รวม 11 คน ประกอบด้วย สส.บัญชีรายชื่อ 5 คน คือ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ - ชัยธวัช ตุลาธน - เบญจา แสงจันทร์ -สุเทพ อู่อ้น -อภิชาต ศิริสุนทร” สส.เขต 1 คน คือ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” สส.พิษณุโลก ซึ่งถูกขับพ้นพรรค และปัจจุบันสังกัดพรรคเป็นธรรม ซึ่งจะต้องมีการเลือกตั้งกันใหม่ ที่ จ.พิษณุโลก
ส่วนกรรมการบริหารพรรค ที่ไม่ได้ เป็นสส.ในปัจจุบัน ประกอบด้วย “ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์”เหรัญญิกพรรค “ณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล” นายทะเบียนสมาชิกพรรค “สมชาย ฝั่งชลจิตร -อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล และ อภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์”
“ชัยธวัช ตุลาธน” กล่าวภายหลังศาลฯ มีคำสั่งยุบพรรคในเชิงไม่ยอมรับ ว่า แม้ศาลฯ จะมีคำวินิจฉัย โดยเห็นว่า พรรคก้าวไกล กระทำการล้มล้างการปกครอง อันมีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองก็ตาม แต่พวกเราขอยืนยันว่า ข้อเท็จจริง และหลักกฎหมายที่ควรจะเป็น เราไม่ได้กระทำผิด ล้มล้างการปกครอง หรือปฏิปักษ์ต่อการปกครองอย่างที่ศาลฯ เห็น
ที่สำคัญคือ ผลจากคำวินิจฉัยของศาลฯ สิ่งที่ได้รับผลกระทบ และสำคัญกว่าการดำรงอยู่ของพรรคก้าวไกล คือ คำวินิจฉัยครั้งนี้ เท่ากับเป็นการวางบรรทัดฐานในการตีความรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ที่อันตราย สุ่มเสี่ยง ที่จะกระทบต่อหลักการสำคัญ และคุณค่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ของพวกเราในอนาคต สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยฯ ของพวกเรา กลายพันธุ์ เป็นระบอบอื่นได้
ขณะที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” บอกว่า แม้จะต้องอำลา จากการเป็นนักการเมือง เป็นส.ส. แต่จะเริ่มต้นในการทำการเมือง ในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง จะไม่ทิ้งประชาชนไปไหน จะทำทุกวิถีทางให้บ้านเมืองดีขึ้น และพร้อมที่จะเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง
เราจะเปลี่ยน ความรู้สึกผิดหวัง โกรธแค้น เศร้าเสียใจ หรือมีน้ำตาให้เป็นพลัง ที่จะระเบิดในคูหาทุกการเลือกตั้งต่อจากนี้ไป โดยจะเริ่มที่การเลือกตั้งซ่อมส.ส.พิษณุโลก แทน “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” รวมถึงการเลือก นายก อบจ.ราชบุรีด้วย
ส่วน “ศิริกัญญา ตันสกุล” ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมารับช่วงเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป บอกว่า รู้สึกเจ็บปวด รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่ต้องโดนยุบพรรคเป็นครั้งที่ 2 แต่เราก็จะไม่ละทิ้งความฝัน หรือละทิ้งภารกิจหน้าที่ ที่เราได้รับมอบจากประชาชน ตราบใดที่ประชาชนยังอยู่เคียงข้างเรา เราจะเดินหน้าต่อไป และวันที่ 9 ส.ค.นี้ พวกเราจะย้ายไปที่บ้านใหม่
ต้องติดตามกันต่อไปว่า วันที่ 9 ส.ค.นี้ พรรคที่เปิดตัวใหม่ จะชื่อพรรคอะไร ใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรค และใครเป็นเลขาธิการรพรรค
++ "วิว-กุลวุฒิ"ความภาคภูมิใจของคนไทย ได้เวลาติดดาว คนทรงคุณค่ากับรางวัลชีวิตที่คู่ควร
กลับมาถึงไทยก็มีคิวยาวเลยสำหรับ "วิว" กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักกีฬาทีมชาติที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการแบดมินตันไทย หลังคว้าเหรียญเงินโอลิมปิก
เริ่มจาก"เศรษฐา ทวีสิน" นายกรัฐมนตรี เปิดทำเนียบฯ ต้อนรับทีมแบตมินตัน ซึ่งนอกจาก "วิว" ยังมี “เมย์” รัชนก อินทนนท์ รวมถึงคณะผู้ฝึกสอน
ฟังว่า นายกฯกล่าวชื่นชมวิวเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นน้องๆ เยาวชน โดยเหรียญที่วิวได้มาเป็นเหรียญประวัติศาสตร์จริงๆ
นายกฯยังว่า ตัวเองกับน้องวิว ใจถึงใจ เพราะเป็นแฟนลิเวอร์พูล ด้วยกันอยู่แล้ว และทราบว่า “วิว” เป็นตำรวจด้วย ซึ่งมีนโยบายอยู่แล้วที่จะบรรจุให้เป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรได้
ปัจจุบัน “วิว” หรือ “ส.ต.ท.กุลวุฒิ วิทิตศานต์” เป็น ผบ.หมู่ ฝอ.บก.ป. ซึ่ง "บิ๊กก้อง" พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะผู้บังคับบัญชา ยืนยันออกมาแล้วว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีระเบียบหลักเกณฑ์เงื่อนไขในส่วนที่จะเลื่อนยศเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรอยู่แล้ว
เนื่องเพราะ “ส.ต.ท.กุลวุฒิ” เข้าหลักเกณฑ์เป็นบุคคลที่มีผลงานดีสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ และเจ้าตัวอยู่ระหว่างศึกษาในระดับปริญญาตรี ซึ่งจะถูกพิจารณาในลำดับถัดไป
ขณะที่ "บิ๊๊กต่อ" พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มอบหมายสำนักงานกำลังพล ตรวจสอบการดูแลสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับ "วิว" ส.ต.ท.กุลวุฒิ และ นักกีฬาตำรวจทุกคนที่เป็นตัวแทนทีมชาติไทยเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในครั้งนี้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย และ สร้างความสุขให้กับคนไทยทุกคน
งานนี้ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับ “วิว” ส.ต.ท.กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ผบ.หมู่ ฝอ.บก.ป. เอาไว้ล่วงหน้า และก็ต้องบอกว่า ได้เวลาติดดาว รางวัลชีวิตที่คนทรงคุณค่าคู่ควร