ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ยึดทอง "สาธิต รังคสิริ" 871 ล้าน ย้อนอดีตอธิบดีกรมสรรพากร จากข้าราชการดาวรุ่ง สู่รวยผิดปกติ คุกตลอดชีวิต
กลับมามีชื่อบนหน้าสื่อเรียกเสียงอื้อหืออีกครั้ง สำหรับ "สาธิต รังคสิริ" อดีตอธิบดีกรมสรรพากร
หลังจาก “นิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการป.ป.ช. แถลงว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ค.67 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีหมายเลขแดงที่ อร 2/2562 ที่อัยการสูงสุด ร้อง “สาธิต รังคสิริ” อดีตอธิบดีกรมสรรพากร คดีร่ำรวยผิดปกติ โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ตามศาลอุทธรณ์ให้รายการสั่งซื้อทองคำแท่งในชื่อของสาธิตกับ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด รวม 15 รายการ ซึ่งเป็นทองคำแท่งน้ำหนักรวม 20,976.2 บาท คิดมูลค่าปัจจุบันก็ราวๆ 871.56 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน รวมกับทรัพย์สินรายการอื่น ๆ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินอีกหลายรายการ
คดีดังกล่าวคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิด “สาธิต” ผู้ถูกกล่าวหาเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ในคดีร่ำรวยผิดปกติ เมื่อวันที่ 28 ต.ค.59 และมีมติว่า รายการสั่งซื้อทองคำแท่งในชื่อของนายสาธิต กับบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัดรวม 15 รายการนั้น เป็นทรัพย์สินที่ “สาธิต” ร่ำรวยผิดปกติ
จากปี พ.ศ. 2559 จนถึง พ.ศ.2567 หรือ กว่า 8 ปี บางทีหลายคนจะลืมไปแล้วว่า “สาธิต” มีที่ไปที่มาอย่างไรไปแล้ว
“สาธิต รังคสิริ” พื้นเพเป็นคนจังหวัดแพร่ ครอบครัวค่อนข้างมีฐานะดี พี่ชายเคยดำรงตำแหน่ง อดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สมัยรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ
“สาธิต” จบจบมัธยมที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล จากนั้นเข้าศึกษาที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และไปศึกษาต่อที่อเมริกา
หลังจบมาก็รับราชการที่กองนโยบายและแผนภาษีกรมสรรพากร
ต้องบอกว่า “สาธิต” เมื่อครั้งรับราชการในกระทรวงการคลัง ถือเป็นข้าราชการอนาคตไกล โดยเมื่อช่วงปี 2531 ถึง 2534 รัฐบาลปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพากรครั้งใหญ่ เปลี่ยนจากระบบภาษีการค้า มาเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม “สาธิต” เป็นหนึ่งในคณะทำงานกำหนดนโยบายยกร่างกฎหมาย
ช่วงจังหวะชีวิตในช่วงนี้ของ “สาธิต” ถือว่ารุ่งเรืองสุดๆ ความเชี่ยวชาญเรื่องของภาษีทำให้เขาต่อยอดสร้างชื่อจนก้าวหน้าในเส้นทางราชการ ไต่เต้าขึ้นที่สูงอย่างรวดเร็ว จากรองอธิบดีกรมสรรพากร ขึ้นเป็น รองปลัดฯ ในปี 2552 จากนั้นในยุคของ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ตามด้วยขึ้นเป็นอธิบดีกรมสรรพากร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553
สองปีต่อมาในปี 2556 ขณะที่ “สาธิต” นั่งเป็นอธิบดีสรรพากรอยู่ ก็มีจดหมายร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มผู้ส่งออกเศษเหล็กที่ขอคืนแวต จากการส่งออกจำนวนมากอย่างผิดปกติ
ทว่า กระทรวงการคลัง แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแต่ไม่ปรากฏชื่อ “สาธิต” เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการโกงภาษีแต่อย่างใด
“สาธิต” จึงยังรับราชการอยู่ต่อ จนมาถึงยุคคสช. เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ม.44 สั่งพักราชการสาธิต
ตามด้วยดาบสอง ป.ป.ช.ได้เข้าตรวจพบว่า “สาธิต” ร่ำรวยผิดปกติ จึงมีคำสั่งอายัดทองคำมูลค่า 179 ล้านบาท
สุดท้าย “สาธิต” ปิดฉากชีวิตราชการจบไม่สวย เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตสั่งจำคุกตลอดชีวิต เพราะใช้ฮอำนาจหน้าที่ตำแหน่งอธิบดีสรรพากร ร่วมกับพวกทุจริตทำให้รัฐเสียหายกว่า 3,000 ล้าน
คำพิพากษาของศาลในตอนนั้น ระบุพฤติการณ์ของสาธิตและพวกว่า เริ่มแสวงหาประโยชน์ในช่วงระหว่างปี 2555 ถึง 2556 โดยร่วมกันขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแสดงข้อความเท็จหลอกลวงกรมสรรพากร เพื่อให้ได้เงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร และรัฐโดยทุจริต
“สาธิต” ที่เป็นอธิบดีรู้เห็นเป็นใจ ด้วยการร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและทุจริต ซึ่งว่ากันว่ามีบริษัทจำนวนถึง 25 บริษัท ที่ขอคืนภาษี และกรมสรรพากรคืนภาษีให้ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิขอคืนภาษีโดย “สาธิต” ได้พิจารณาอนุมัติคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัททั้ง 25 แห่งจำนวนหลายครั้ง
เมื่อได้เงินมา ก็แบ่งปันกัน โดยสาธิต นำไปซื้อทรัพย์สินเป็นทองคำแท่งไว้เป็นจำนวนมากดังกล่าว
นี่คือชีวิตของ “สาธิต รังคสิริ” จากข้าราชการดาวรุ่ง พุ่งลงเหวรวยผิดปกติ จนถูกจำคุกตลอดชีวิต
++ ไขปริศนา ทำไม “ทักษิณ” ต้องขออนุญาตศาล ออกนอกประเทศในช่วงนี้
กรณี “ทักษิณ ชินวัตร” จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้ยื่นคำร้อง "ขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร" ไปพำนักอยู่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) ระหว่าง วันที่ 1-16 ส.ค.นี้ เพื่อพบแพทย์ซึ่งเคยตรวจรักษาอาการป่วยของตนเอง เกี่ยวกับปอดอักเสบเรื้อรัง ระบบหายใจและหลอดเลือดหัวใจ เอ็นไหล่ขวาฉีกขาด และหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน
อีกทั้งยังมีนัดหมายกับบุคคลสำคัญหลายคน เกี่ยวด้วยภารกิจส่วนตัว หลายเรื่อง และจะเดินทางกลับไทย ก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ซึ่งศาลนัดไว้ในวันที่ 19 ส.ค.67
แต่ศาลไม่อนุญาต ด้วยเหตุผลว่า อาการป่วยของ “ทักษิณ” เป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไป และแพทย์ในประเทศไทยตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่ต้องไปพบบุคคลสำคัญ ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของ “ทักษิณ” ทั้งไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้ง ถึงความจำเป็นดังกล่าว ประกอบกับช่วงระยะเวลาที่เดินทาง ใกล้กับวันนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี 112 จึง
ยกคำร้อง
เรื่องนี้ มีการวิพากวิจารณ์จากบรรดาคนรู้ทันทักษิณ มากมาย เพราะที่ผ่านมา “ทักษิณ” ทำตัวอยู่เหนือรัฐบาล เหนือพรรคเพื่อไทย และบรรดาสส.ของพรรค หรือถ้าจะพูดรวมๆ ก็คือ ทำตัวอยู่เหนืออำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร และ คิดจะทำตัวเหนืออำนาจตุลาการอีกอย่าง แต่ศาลไม่เล่นด้วย
“เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า
คนเรานี่แปลก คนอยู่ดูไบตะวันออกกลาง อยากมารักษาตัวที่เมืองไทย
อยู่ดูไบตะวันออกกลาง อยากกลับเมืองไทยแก่แล้ว เลี้ยงหลาน
อยู่เมืองไทยบอกป่วย ต้องอยู่โรงพยาบาลตำรวจ
อยู่เมืองไทยไม่เลี้ยงหลาน แต่เดินสายโชว์ตัวแสดงความยิ่งใหญ่
อยู่เมืองไทยรักษาตัวไม่ได้ ขอศาลไปรักษาตัวดูไบ ในช่วงก่อนขึ้นศาล
คิดว่าประชาชนคนไทยโง่ขนาดนั้นเชียวหรือ ??
ส่วน “เทพไท เสนพงศ์” อดีต สส.นครศรีธรรมราช ออกมาขอบคุณศาล ที่ยกคำร้อง เพราะการยื่นขออนุญาตเดินทางไปดูไบครั้งนี้ เหมือนต้องการ “หยั่งเชิง” หรือ “ลองของ” ดูว่าศาลจะว่าอย่างไร เพราะโดยปกติผู้ต้องหาที่ได้รับการประกันตัว จะไม่มีผู้ต้องหาใดขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ติดเงื่อนไขข้อห้ามของการประกันตัว
ตอนที่ทักษิณ หนีคดีอยู่เมืองนอก 17 ปี บอกอยากจะกลับเมืองไทย เพื่อมาเลี้ยงหลานเมื่อได้กลับเมืองไทย เพื่อมารับโทษ แต่ไม่ได้ถูกคุมขังในเรือนจำเลยแม้แต่วันเดียว พอได้รับการพักโทษ และตกเป็นผู้ต้องหาคดี112 ก็อยากเดินทางไปเมืองนอก ตอนกลับมาสุขภาพดี พอเข้าคุกป่วยหนักทันที หนีการถูกคุมขังในเรือนจำ ไปนอนรักษาตัวที่ชั้น14 รพ.ตำรวจ พอได้รับสิทธิ์พักโทษ ก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง ไม่เห็นร่องรอยการป่วยเลย ออกรอบตีกอล์ฟสบายๆ แสดงว่า หมอใน รพ.ตำรวจ มีประสิทธิภาพในการรักษาดีที่สุด ทำไมต้องเดินทางไปรักษาอาการป่วยที่ดูไบอีก
"หมอวรงค์" นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ตั้งคำถามว่า...สงสัยทำไม "ทักษิณ" ต้องไปดูไบ ไปตั้งหลัก หรือไม่
... สิ่งที่ต้องตั้งข้อสงสัยว่า ทำไม “ทักษิณ” ต้องไปดูไบช่วงนี้ ช่วงยุบพรรคก้าวไกล วันที่ 7 ส.ค. และช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคดีของ “เศรษฐา ทวีสิน” วันที่ 14 ส.ค.นี้ หรือว่า “ทักษิณ” มีความไม่แน่ใจใดๆ ที่จะเกิดขึ้น เพราะ ตามประวัติ “ทักษิณ” กลับเมืองไทย วันที่ 22 สิงหาคม 2566 ก็ต้องมั่นใจว่า “เศรษฐา ทวีสิน” ต้องได้เป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทย ต้องได้ครองอำนาจ
การที่ “ทักษิณ”ขอเดินทางออกนอกประเทศไปดูไบช่วงนี้ เพื่อไปตั้งหลัก หรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าพรรคเพื่อไทย ยังสามารถมีอำนาจต่อเนื่อง หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเกิดสมการการเมืองเปลี่ยน หลัง 14 สิงหาคมนี้ “ทักษิณ”อาจต้องตัดสินใจอีกอย่างก็ได้ เพราะความลับ ชั้น 14 อาจถูกทลายลงมา
“สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต. ก็ออกมาร่วมไขปริศนา พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการขอออกนอกประเทศของ “ทักษิณ”ในครั้งนี้ว่า
การขอออกนอกประเทศ เป็นไปอย่างกระทันหัน โดยยื่นคำร้องวันเสาร์ที่ 27 ก.ค. ช่วงวันหยุดยาว และศาลนัดไต่สวน และมีคำสั่งไม่ให้ไป ในวันอังคารที่ 30 ก.ค. ซึ่งเป็นวันทำงานแรกทันที
สารพัดโรค คือ โรคที่เคยตรวจพบขณะอยู่ในต่างประเทศ และในประเทศช่วงอยู่ รพ.ตำรวจ ซึ่งไม่ได้มีอาการแสดงออกในระดับวิกฤต แต่อย่างใด
ขีดความสามารถของแพทย์และโรงพยาบาลไทยในการรักษาดีกว่า และถูกกว่าประเทศอื่นในโลก โดยมีข้อยืนยันคือ เศรษฐีในประเทศทางตะวันออกกลางยังมารักษาที่ไทยจำนวนมาก
การไปพบบุคคลสำคัญที่นัดหมายล่วงหน้า เดี๋ยวนี้เขาพบปะเจรจากันผ่านทางวีดิโอคอลได้ทั่วโลก และจะไปนัดก่อนได้รับอนุญาตให้ไปต่างประเทศได้อย่างไร
เหตุผลที่ยกมาอ้าง จึงไม่เป็นเหตุผลที่ฟังได้ ส่วนเหตุผลที่แท้ อาจต้องเป็นเรื่องใหญ่มาก อันตรายมาก จนต้องขอไปตั้งหลักไกลถึงดูไบ ซึ่ง ทักษิณรู้ แต่คนทั่วไปยังไม่รู้
จากทั้งหมด สรุปได้ว่า “ทักษิณ” น่าจะป่วยจริงตามอ้าง โดยเป็นโรคปอด ... “ปอดแหก”