เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าทุกอย่างลงตัวแบบ “วิน วิน” กับการจับมือเป็นพันธมิตรกันทางการเมืองระหว่างสองพรรคใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย กับภูมิใจไทย ที่แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาอาจมีอาการเขม็งเกลียวกันบ้าง แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี แลกเปลี่ยน “หมูมา ไก่ไป” อะไรทำนองนั้น
จับอาการแรกมาจากข้อแลกเปลี่ยนต่อรอง จากการถอนกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่ พรรคเพื่อไทย และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นคนผลักดันและเตรียมนำเข้าประชุมในบอร์ดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) แต่ก็ต้องถอนออกมา และเลื่อนการประชุมออกไปแบบไม่มีกำหนด
โดยก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เรียก นายสมศักดิ์ พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เข้าหารือ โดยมี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วม
เมื่อพิจารณาจากรายชื่อที่ร่วมกันหารือแล้ว ถือว่าเป็นระดับ “ตัวแทน” และสามารถตัดสินใจได้ทั้งสิ้น และผลก็ออกมาโดย นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ “ถอนออกมาจากบัญชียาเสพติด” ให้ออกเป็นพระราชบัญญัติควบคุมการใช้ ซึ่งที่ผ่านมาทางพรรคภูมิใจไทย ได้เคยเสนอร่างกฎหมายทำนองเดียวกันในสมัยสภาชุดที่แล้ว แต่ก็ถูกขัดขวางจากบางพรรคการเมือง เช่น ประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่พรรคเพื่อไทยเอง จนหมดวาระ ทำให้กฎหมายคาอยู่ในสภา
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงความคืบหน้าการผลักดัน พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชง กัญชา หลังนายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้ออกเป็นกฎหมาย โดยจะมีโอกาสเสนอ ร่าง พ.ร.บ. จากทาง สส.หรือ ครม.ว่า ขอพิจารณาในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขก่อน เพราะเหมือนจะมีร่างกฎหมายกัญชง กัญชา ในสมัย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีต รมว.สาธารณสุข ที่เตรียมยื่น ส่วนร่างของพรรค ภท. ก็ได้ยื่นเข้าสภาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ ก.ย. 2566 และจากที่ได้ฟัง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ แนะนำว่า
อยากให้เป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคใดก็ได้ยื่นเข้าไป จากนั้น นำไปประกบรวมกันเพื่อพิจารณา โดยเราเอาบัญชานายกฯ เป็นสำคัญ
“นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในการออก พ.ร.บ.จึงต้องหาแนวทางในการออกกฎหมาย ซึ่งจะลบล้างเรื่องการนำกัญชง กัญชา กลับไปเป็นยาเสพติด เพราะการออก พ.ร.บ. คือการไม่ใช้ช่องทางของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (บอร์ด ป.ป.ส.)แล้ว”
เมื่อถามว่า หากยึดตามคำบัญชานายกฯ บอร์ด ป.ป.ส.ไม่ต้องประชุมเพื่อนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดแล้ว ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าเป็นแนวทางนายกฯ ก็ควรเป็นเช่นนั้น ส่วนรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ. จะเหมือนข้อเสนอที่เข้าสภาชุดที่แล้ว ที่ พรรคภูมิใจไทยเสนอหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า แก่นของกฎหมายก็คงเหมือนเดิม
นั่นเป็นเรื่องแรกคือเรื่อง “กัญชา” ที่เป็นสาเหตุทำให้สองพรรคดังกล่าวต้องงัดข้อกันอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดก็สามารถลงเอยกันได้ เนื่องจากความจำเป็นทางการเมือง ต้องพึ่งพาอาศัยกัน
อย่างไรก็ดี ก็ต้องโฟกัสไปที่พรรคเพื่อไทยเป็นหลัก เพราะ “สถานการณ์บังคับ” ทำให้ต้องลดท่าทีมาแบบโอนอ่อนผ่อนปรน ซึ่งหาได้ยากสำหรับพรรคนี้ เพราะหากพิจารณากันตามเส้นทางเริ่มแรก ก็ต้องเริ่มตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลผสมที่พรรคเพื่อไทย ต้องการเป็นแกนนำรัฐบาล ต้องการอำนาจรัฐ ยอมแม้กระทั่งถูกตราหน้าว่า ตระบัดสัตย์ ยอมเสียเครดิตเสียความนิยม
แต่ขณะเดียวกันในรัฐบาลผสมดังกล่าวพรรคเพื่อไทยก็ยังมีพรรคภูมิใจไทยที่เป็น “ตัวแปร” สำคัญ แต่ทั้งสองพรรคยังมีเป้าหมายหลัก คือ ต้องเป็นรัฐบาลเท่านั้น จึงยังไม่มีปัญหางัดข้อ จนกระทั่งมีกรณีกัญชา ที่ถือเป็นนโยบาย “เรือธง” มาตลอด เมื่อถูกหักแบบนี้ทำให้พวกเขาก็ต้องแสดงท่าทีแข็งกร้าวอย่างชัดเจน จนทำให้พรรคเพื่อไทยต้องยอมถอยในที่สุด
หากพิจารณาจากเหตุผล ก็คงไม่มีอะไรซับซ้อน ส่วนสำคัญเป็นเพราะรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ร้อนแรงเหมือนเดิมอีกแล้ว ทุกอย่างกำลังขาลง ตัวนายเศรษฐา ทวีสิน กำลังมีปัญหากำลังถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจากกรณีแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีโดยมิชอบ ยังลูกผีลูกคน ขณะที่ผลงานของรัฐบาลก็ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ปัญหาข้าวของแพง กำลังรุมเร้า ทุกอย่าง “ไม่ตรงปก”
และอย่าได้แปลกใจที่เราจะได้เห็น “ก๊วนเขาใหญ่” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย นัดออกรอบกอล์ฟเป็นการเฉพาะเจาะจงกับ นายอนุทิน ชาญวีระกูล เพื่อ “เปิดดีลลับ” แบบกระทันหัน จนทุกอย่างลงเอย นำไปสู่การถอยเรื่องกัญชา ดังกล่าว
ขณะที่นายอนุทิน ได้เคย แย้มออกมาให้ได้ยินทำนองมีข้อแลกเปลี่ยนจากการที่พรรคภูมิใจไทย สนับสนุนร่างงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 67 ที่นำไปใช้จ่ายโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ดังนั้น สำหรับนโยบายกัญชา พรรคเพื่อไทยก็ควรสนับสนุนในฐานะรัฐบาลด้วยกัน อะไรประมาณนั้น
แต่ถึงอย่างไร ก็ยังถือว่าทั้งสองพรรคยังต้องจับมือเป็นพันธมิตรกันต่อไป แบบยาวๆ จนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ว่าได้ เพราะต่างก็รับรู้กันเองแล้วว่า พวกเขาต้องต่อสู้กับพรรคก้าวไกล และยังมองออกอีกว่า โอกาสที่จะชนะมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งนั้น เป็นไปได้ยาก แต่ขณะเดียวกันสำหรับพรรคก้าวไกล แม้ว่าจะชนะมาที่หนึ่ง หากไม่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาด โอกาสที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล ก็ยังเป็นไปได้ยาก
เมื่อหันมาฟากสองพรรค ที่ยังจำเป็นต้องจับมือกันต่อไป เพราะเป็นขั้วที่พรรคเพื่อไทยยังมีโอกาสเป็นแกนนำรัฐบาลมีสูงกว่า ลักษณะก็น่าจะเป็นแบบปัจจุบัน และนี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไมจึงต้อง “ล็อกคอ” กันแน่นแบบนี้ อีกทั้งในหัวข้อหารือใน “ก๊วนเขาใหญ่” ที่ผ่านมา ยังต้องเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันวันที่ 14 สิงหาคม ที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดวินิจฉัยชี้ชะตา นายเศรษฐา ทวีสิน หากผลออกมาเป็นลบ ก็ต้องให้คำมั่นว่า “อย่าทิ้งกัน” กลางทาง ซึ่งคำตอบก็น่าจะรับประกันได้ ทุกอย่างจึงแฮปปี้ ลากยาวกันไป !!