ทีมกฎหมาย “บิ๊กแจ๊ส” ร้อง กกต.สั่งเพิกถอนการสมัครนายก อบจ.ปทุมธานี ของ “ชาญ พวงเพ็ชร์” อ้างถูกป.ป.ช.ชี้มูลทุจริตเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามลงสมัครแล้ว เผย “คำรณวิทย์” ไม่ติดใจใจผลแพ้ชนะ แต่เป็นเรื่องข้อกฎหมายที่ทำให้เป็นบรรทัดฐาน
วันนี้ (17 ก.ค.) นายปณต เขตสันต์เทียะ ทีมกฎหมายของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี ยื่นหนังสือต่อ กกต.ขอให้เพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ของนายชาญ พวงเพ็ชร์ เนื่องจากพบว่าขาดคุณสมบัติ โดย นายปณต กล่าวว่า มาตรา 50 ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือบริหารท้องถิ่น 2562 กำหนดลักษณะต้องห้ามของบุคคลมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้ว่า (8) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ ซึ่งผู้สมัครรายดังกล่าว ในอดีตเคยดำรงตำแหน่งนายก อบจ.ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติเคยมีคำสั่งที่35/2560 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกอบจ.ในขณะนั้น รวมถึงให้พ้นจากหน้าที่โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน แม้ต่อมานายกรัฐมนตรีจะได้มีคำสั่งให้กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม แต่ในปี 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็มีมติชี้มูลว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ กรณีการจัดซื้อถุงยังชีพเมื่อปี 2555 และยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริต จึงเห็นผู้สมัครรายดังกล่าวขาดคุณสมบัติในการลงสมัครนายก อบจ.ปทุมธานีในครั้งนี้ และขณะนี้กกต.ยังไม่รับรองผลการเลือกนายกอบจ.ปทุมธานี จึงได้นำหลักฐานดังกล่าวจึงมายื่นร้อง
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ระบุว่า จะไม่ยื่นเรื่องร้องเรียน นายปณต กล่าวว่า พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ไม่ได้ติดใจการแพ้ชนะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องข้อกฎหมายซึ่งจะเป็นผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป และครั้งที่ผ่านมา ว่า บุคคลที่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติแล้ว กกต.ตรวจไม่พบ หรือมีเหตุอะไรก็แล้วแต่ เพราะคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นคำสั่ง คสช.ในปี 2560 และในปี 2563 ที่ลงสมัคร ไม่มี คสช.แล้ว กกต.ก็อาจไม่ได้ตรวจสอบไปยังหน่วยงานดังกล่าวว่าเคยถูกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะการถูกชี้มูลให้มีความผิด ผลก็คือทำกให้หมดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งนับแต่วันที่ถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นกฎหมายที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรื่องของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์
“ลำพังตัวท่านบอกว่าแพ้ก็แพ้ แต่ทีมกฎหมายเสนอว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎหมายไม่ใช่เฉพาะตัวท่าน และจะเป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า บุคคลที่ถูกชี้มูลแล้ว ถ้ายังสามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ว่าจะลงที่ไหนอย่างไร ก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ว่ามีคุณสมบัติที่จะรับหรือไม่รับ”
เมื่อถามว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ต้องการให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และให้มีการจัดเลือกตั้งใหม่ใช่หรือไม่ นายปณต กล่าวว่า ต้องการให้ผลคดีถึงที่สุดว่าการกระทำของบุคคลผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ถ้ามีมูลความผิดอาญาฐานประพฤติมิชอบ โดยเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตสามารถไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารทั้งระดับท้องถิ่น หรือเลือกตั้งระดับชาติได้หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมาย ที่ควรวินิจฉัยให้เป็นบรรทัดฐาน ว่า ถ้าผู้ขาดคุณสมบัติเคยถูกชี้มูลให้มีความผิดฐานทุจริต และศาลประทับรับฟ้องก่อนแล้วจะยังคงลงสมัครได้หรือไม่ ถามว่า ถ้ามีคำสั่งศาลรับฟ้องก่อนแล้วแต่ยังคงลงสมัครได้มันจะผิดหรือเปล่า มันควรจะเป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐาน ซึ่งใช้บังคับได้ต่อไป จึงอยากให้ กกต.วินิจฉัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการสัมภาษณ์นายปณต พยายามหลีกเลี่ยงที่จะระบุชื่อนายชาญ โดยระบุเพียงว่าผู้สมัครรายหนึ่งเท่านั้น