xs
xsm
sm
md
lg

“ชัชชาติ" เปิบปลาเอเลี่ยนโชว์ แล้วโปรดทราบ น่ากลัวกว่า "หมอคางดำ" ก็คน "ทุจริต" ในกทม.นี่แหละ! ** จับตาเลือกประธานวุฒิสภา สุดท้ายจะเป็นพวกมากลากไปหรือไม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ -พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ - มงคล สุระสัจจะ - บุญส่ง น้อยโสภณ
ข่าวปนคน คนปนข่าว

** “ชัชชาติ" เปิบปลาเอเลี่ยนโชว์ แล้วโปรดทราบ น่ากลัวกว่า "หมอคางดำ" ก็คน "ทุจริต" ในกทม.นี่แหละ!

“หมอคางดำ” ปลาเอเลี่ยนที่ไม่เพียงกำลังครองแหล่งน้ำ ตอนนี้ยังครอบครองพื้นที่สื่ออีกด้วย

เรียกว่า ใครอยากได้แสงก็ต้องแสดงแอ๊กชั่น ทำคอนเทนต์กำจัด “หมอคางดำ” โหนกระแสกะเขาหน่อย

คนนี้ก็ไม่พลาด “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตีห้าเช้าตรู่เมื่อวาน หยิบเฟซบุ๊กขึ้นมาไลฟ์ ลงพื้นที่บึงมักกะสัน หลังจากวันก่อนมีภาพคลื่นประชาชนแห่แหนไปจับปลาหมอคางดำ ที่น็อกน้ำจำนวนมาก

งานนี้ผู้ว่าฯ ที่มีฉายา “บุรุษผู้แข็งแกร่งสุดในปฐพี” นอกจากโชว์การวิเคราะห์เหตุการณ์หมอคางดำน็อกน้ำมาให้ชาวบ้านจับง่ายๆ ยังขึงขัง สั่งเจ้าหน้าที่กทม.ติดตามหมอคางดำต่อไปว่า จะแพร่กระจายไปในจุดอื่นได้อีกหรือไม่ เช่น ออกแม่น้ำเจ้าพระยา คลองสามเสน คลองแสนแสบ คลองตัน โดยจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

ภารกิจปราบหมอคางดำของ “ชัชชาติ” ยังต่อเนื่องมาถึงช่วงสาย โดยพาคณะย้ายไปยังโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร หรือ ดินแดง 2

ฟังว่า ที่ห้องเรียนสอนทำอาหารไทย ได้นำปลาหมอคางดำมาทดลองประกอบอาหาร และ ต่อมา “ชัชชาติ” ได้ทดลองกินเมนู "ปลาหมอคางดำทอดกระเทียม"

หลังลิ้มรส “ชัชชาติ” ถึงกับเอ่ยปาก อร่อย หรอยจังฮู้ กินจนหมดตัว และจากนั้นทางโรงเรียนได้จัดโต๊ะอาหารเสิร์ฟเมนูปลาหมอคางดำราดพริก พร้อมไข่เจียว ไก่ทอด ให้อีกชุดใหญ่

เรียกว่า ท้องก็อิ่ม แถมได้ทำคอนเทนต์หมอคางดำโชว์สื่อไปด้วย ก่อนจากก็ฝากนโยบายกทม. ถึงการ "กำราบ" ปราบปลาเอเลี่ยน ไว้ว่า

การกินปลาหมอคางดำ เป็นหนึ่งในวิธีกำจัดของกรมประมง หรือ การสร้างมูลค่าเพิ่ม

ส่วนวิธีกำจัดอื่นๆ เช่น ล่าให้หมด, ปล่อยนักล่า เช่น ปล่อยปลากะพงขาว, พยายามกำจัดไม่ให้แพร่กระจาย, หาแนวร่วมช่วยกัน, ใช้วิทยาศาสตร์ เช่น การทำหมันแล้วปล่อยลงไป, พยายามหาทางเยียวยาต่อไป

ทั้งหมดก็ถือว่าเป็นแนวทางที่จะกำจัดปลาที่ได้ชื่อว่าเป็นภัยต่อระบบนิเวศน์ทางน้ำ ที่มีคุณสมบัติพิเศษกินทุกอย่างที่ขวางหน้า แพร่กระจายพันธุ์ได้เร็ว ทนต่อทุกสภาพแวดล้อม แม้แต่น้ำครำ ที่ยกมือเห็นด้วย

“ชัชชาติ” จะผันตัวเป็นมือปราบหมอคางดำ ก็คงไม่มีใครว่าอยู่แล้ว ถ้าเอาจริงเอาจังมากกว่าทำคอนเทนต์เรียกแสง

และที่ประเด็นเม้าท์มอยในโลกโซเชียลฯ ที่หลังจากได้ดูไลฟ์ และเห็นรายการ เปิบหมอคางดำโชว์ ที่ “ชัชชาติ” ควรจะต้องทราบและโปรดทราบ ก็คือ ความน่ากลัวของปลาหมอคางดำ ยังไม่เท่ากับการทุจริตในกทม.

ชาวกทม.เขาไม่ลืม ถามกันให้แซ่ด ไหนที่ผู้ว่าฯลั่นคำพูดจะเปิดเผยแบบ "แก้ผ้า" การปราบปรามทุจริต กำจัดคนโกง งาบงบจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ทุ่นลอยน้ำ จักรยานเป็ดแพงเว่อร์ ไปถึงไหนแล้ว !?

คิดจะปราบหมอคางดำก็ทำไป คนโกงในกทม.ที่มีคุณสมบัติพิเศษ กินเยอะ กินตลอดเวลา ทนทุกสภาพแวดล้อม พวกนี้น่ากลัวกว่าหมอคางดำ! ปล่อยเอาไว้แพร่พันธ์เร็วด้วยนะจ๊ะ ทั่นผู้ว่าฯ?

พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ - มงคล สุระสัจจะ - บุญส่ง น้อยโสภณ
** จับตาเลือกประธานวุฒิสภา สุดท้ายจะเป็นพวกมากลากไปหรือไม่

รายงานตัวกันเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ 200 สว.ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “วุฒิสภาสีน้ำเงิน” นั่นหมายถึง ผู้ที่ผ่านการเลือกจนได้เข้าสู่สภาสูง ส่วนใหญ่มีสายสัมพันธ์ ผูกโยงกับเครือข่ายพรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล และ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ ที่ตีโจทย์ “ระบบเลือกกันเอง” ได้แตกกระจุย

วงในตรวจเช็กกันแล้ว ว่ากันว่าใน 200 คนนั้น มีสว.สายสีน้ำเงิน อยู่ประมาณ 130-140 คนเลยทีเดียว ส่วนสีส้ม 18 คน สีแดง 9 คน เขียวบ้านป่า 3 คน และยังมีอีกส่วนที่พยายามรวมพวก ตั้งกลุ่ม คือ “กลุ่มสว.สีขาว” ที่มี “นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ”เป็นแกนหลัก และ “กลุ่มสว.สีรุ้ง” หรือ “กลุ่มสว.พันธุ์ใหม่” ที่มี “นันทนา นันทวโรภาส” สว.สายสื่อ เป็นโต้โผ บอกว่ามีสมาชิกอยู่ประมาณ 30 คน ซึ่งมองแนวทางแล้ว กลุ่มนี้น่าจะไปกันได้กับสายสีส้ม

สำหรับการประชุมวุฒิสภานัดแรก จะมีขึ้นในวันที่ 23 ก.ค.นี้ เพื่อให้ สว.ชุดใหม่กล่าวคำปฏิญาณตนก่อนปฏิบัติหน้าที่ จากนั้นจะเข้าสู่วาระสำคัญ นั่นคือ การเลือก“ประธาน-รองประธานวุฒิสภา”

ขึ้นชื่อว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆ แล้วหนีไม่พ้น “ระบบพวกมากลากไป” ดังนั้น ตำแหน่งประธานวุฒิสภา จึงน่าจะเป็นคนในกลุ่ม สว.สายสีน้ำเงิน ส่วนรองประธานสภา อาจจะแบ่งให้กลุ่มอื่นไปบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดภาพ“กินรวบ”

แคนดิเดตประธานวุฒิสภา ที่ถูกจับจ้องมากที่สุด คงหนีไม่พ้น 3 คนนี้ ... “พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์”... “มงคล สุระสัจจะ” และ “บุญส่ง น้อยโสภณ”

“พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์” ส.ว.กลุ่ม 1 กลุ่มบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง อายุ 61 ปี เป็นชาว จ.สุราษฎร์ธานี จบการศึกษา โรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 22 (ตท.22) โรงเรียน นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 33 (จปร.33) รุ่นเดียวกับ “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ อดีตผบ.ทบ.

เข้าอบรมหลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 61 (วปอ.61) วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นเดียวกับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

เริ่มรับราชการครั้งแรกที่กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 25 (ร.25 พัน 3) ค่ายวิภาวดีรังสิต จ.สุราษฎร์ธานี จากนั้นชีวิตราชการเติบโตอยู่ในกองทัพภาคที่ 4 มาตลอด เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4 แม่ทัพภาคที่ 4 ก่อนจะขยับขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และ เกษียณอายุราชการเมื่อปี 2566

หลังเกษียณ“อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย แต่งตั้งให้เป็น ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.66

กล่าวได้ว่า “บิ๊กเกรียง” มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นพิเศษ

ส่วน“มงคล สุระสัจจะ” ส.ว.กลุ่ม 1 กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง อายุ 72 ปี จบรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง ประวัติรับราชการ ลูกหม้อกระทรวงมหาดไทย บรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการ ผ่านตำแหน่ง ปลัด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี มีความสนิทกับ “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย จากนั้นได้ขึ้นเป็นนายอำเภอครั้งแรก ที่ อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี นายอำเภอศรีสงคราม นายอำเภอธาตุพนม จ.นครพนม นายอำเภอบ้านนา จ.นครนายก นายอำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี ก่อนจะขยับเป็น รองผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ

ปี 2551 ขึ้นเป็น ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ ต่อมาขยับเข้ากระทรวง เป็นอธิบดีกรมพัฒนาชุมชน ในยุค “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็นรมว.มหาดไทย ปี 2553 ขึ้นเป็น อธิบดีกรมการปกครอง และในช่วงปลายปีเดียวกัน ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น ปลัดกระทรวงมหาดไทย แต่เจ้าตัวจะขอถอนตัว โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งในกระทรวง

จากนั้นถูกโยกเป็นหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง และมาเป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวง ก่อนจะเกษียณอายุ ในปี 2555 หลังเกษียณอายุ ได้ไปทำไร่ อยู่ที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ และในปี 2562 ได้รับแต่งตั้ง เป็นประธานคณะทำงานรมช. มหาดไทย (นายทรงศักดิ์ ทองศรี)

จะบอกว่า “มงคล สุระสัจจะ” เป็นสายตรงบ้านใหญ่บุรีรัมย์ ก็ไม่ผิด

ส่วน “บุญส่ง น้อยโสภณ” ส.ว.กลุ่ม 2 กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อายุ 75 ปี จบการศึกษา นิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนติบัณฑิตไทย สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ผ่านอบรมหลักสูตร ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุ่นที่ 5 วิทยาลัยการยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) รุ่นที่ 6 วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า และอีกหลายหลักสูตร

ประวัติการทำงาน ผ่านตำแหน่ง นายทหารสารบรรณ กองเศรษฐกรรม กรมสวัสดิการทหารอากาศ จากนั้นย้ายมาเป็น อัยการผู้ช่วย กองคดี กรมอัยการ

จากนั้นเป็น ผู้พิพากษาอีกหลายแห่ง อาทิ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงอุบลราชธานี ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงสมุทรปราการ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสมุทรปราการ รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 8 รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 ผู้พิพากษาศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7

ในปี 2556 ได้รับเลือกเป็น กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดที่ 4 ทำหน้าที่ระหว่างปี 2556-2561 รับผิดชอบด้าน กิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย หลังพ้นวาระกกต. ได้รับแต่งตั้งเป็น ที่ปรึกษารองประธานวุฒิสภาคนที่สอง (นายศุภชัย สมเจริญ) และประธานกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

หากคู่ชิงเป็น “พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ กับ มงคล สุระสัจจะ” ทางด้าน“บุญส่ง น้อยโสภณ” อาจจะถูกวางตัวเป็น รองประธานวุฒิสภา ก็เป็นได้

สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภา ก็จะต้องทำหน้าที่รองประธานรัฐสภาไปด้วย ดังนั้น ประธานวุฒิสภา ควรเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ แม่นกฎหมาย ประสานงานกับ สส.ได้ สามารถเป็นประธานดำเนินการประชุมรัฐสภาได้
ต้องจับตาว่า สว.ชุดนี้ จะเลือกประธานวุฒิสภาออกมา แล้วประชาชนชื่นชมว่า เป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี หรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น