เมืองไทย 360 องศา
ที่จริงคำว่า “ขยัน แต่ไม่ได้แต้ม” มีคนใช้กับ นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ก่อนหน้านี้ ทำนองว่าแม้ว่าจะมีความขยันลงพื้นที่พบปะประชาชนรับฟังปัญหาต่างๆ การตรวจราชการในต่างจังหวัด รวมไปถึงการเดินทางไปต่างประเทศแบบถี่ยิบ แต่ผลที่กลับมากลับไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะแม้แต่คนกันเอง ภายในพรรคเพื่อไทยอย่าง นายวรชัย เหมะ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย ยังออกมาพูดเอง แบบตำหนิการทำงานของ นายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยคนนี้
เสียงวิจารณ์ จาก นายวรชัย ที่กล่าวว่า เท่าที่ติดตามการทำงานของ นายเศรษฐา เห็นว่าเป็นนายกฯ ที่ขยันลงพื้นที่เพื่อรับรู้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชน รวมถึงเดินสายโรดโชว์ประเทศไปทั่วโลก พยายามดึงนักลงทุนรายใหญ่ๆ และนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา การทำงานเช่นนี้ถือว่าเป็นนายกฯ ที่ขยันที่สุดคนหนึ่ง แต่วันนี้ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องเงินสดในระบบหายไป บ้านถูกยึด รถถูกยึด พ่อค้าแม่ขายย่ำแย่ ขายของไม่ออก เชื่อว่าข้อมูลตรงนี้ นายเศรษฐา รับทราบดีจากการลงพื้นที่จริง รวมถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลตามโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้ความเชื่อมั่นของรัฐบาลและนายกฯ ลดลงไปทุกวัน รวมไปถึงกระแสของพรรคเพื่อไทยที่ลดลงไป
“ผมเลยมองว่าแนวทางการทำงานที่ผ่านมาของนายกฯ ด้วยความขยัน ความอดทน แต่ไม่เร็วพอที่จะทำให้ประชาชนพึงพอใจได้ ผมเชื่อว่าข้อมูลความเป็นจริง นายกฯ มีเพียงพอแล้ว วันนี้จึงอยากให้นายกฯ นำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ปรับใช้ และทวงถามความคืบหน้าข้อสั่งการต่างๆ ที่เคยให้ไว้ในรอบเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา กับข้าราชการผู้ที่รับผิดชอบแต่ละกระทรวงแต่ละหน่วยงาน ว่าคืบหน้าไปถึงไหน มีอะไรต้องทำเพิ่มเติมบ้าง เพราะข้าราชการคือแขน ขา มือ ที่คอยขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล อยากให้นายกฯ แบ่งเวลาการลงพื้นที่มานั่งทำงานที่ทำเนียบ เรียกข้าราชการมารายงานความคืบหน้านโยบาย ไม่ใช่ตะบี้ตะบันลงพื้นที่โดยไม่เหลียวแลหลัง เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจะไม่มีอะไรต่างจากรอบปีที่ผ่านมา ประชาชนต้องการผลสำเร็จของนโยบาย ก็ถึงเวลาแล้วที่นายกฯ ต้องเร่งขันนอตกำชับ ตรวจการบ้าน ไม่ใช่สั่งแล้วสั่งเลย
“สิ่งที่ผมพูดมานี้ในฐานะคนในบ้าน แม้บางอย่างอาจระคายหู แต่อยากให้รู้ว่า ความคิดเห็นของผมคือความเห็นของคนที่เป็นมิตร ไม่มีเจตนามุ่งร้ายแอบแฝง ผมต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าได้ ปากท้องประชาชนจะได้กินอิ่ม ให้พรรคเพื่อไทยของเราจะได้กลับมาเป็นที่นิยมชมชอบ ใครจะว่าอะไรผมไม่สนใจ วันนี้ขอเป็นยาขม บอกปัญหาที่ประชาชนเดือนร้อนให้ถึงนายกฯ เมื่อท่านทราบปัญหาก็ถือว่าผมได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว”
นั่นเป็นคำวิจารณ์ นายกรัฐมนตรี จากคนในพรรคเดียวกัน แม้ว่าหากพิจารณาจากแบ็กกราวด์นั้น คนที่ออกมาวิจารณ์อาจจะไม่สำคัญนัก แค่ระดับปลายแถว ไม่ได้มีพลังเพาเวอร์อะไรนัก แต่หากมองในมุมหนึ่งมันก็คือเสียงสะท้อนแทนคนข้างใน ที่รับรู้มาจากความรู้สึกของชาวบ้าน ที่กำลังเกิดผลกระทบในทางลบกับพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในเวลานี้
ขณะเดียวกันหากพูดถึงพรรคเพื่อไทย รัฐบาล แล้วมันก็ต้องพูดถึง นายทักษิณ ชินวัตร ด้วย เพราะทุกอย่างมันเชื่อมโยงกัน หรือหากพูดให้ตรงจุดก็คือ นายทักษิณ เป็นทุกอย่างทั้งพรรคและรัฐบาล ที่หมายถึงรัฐมนตรีทุกคนด้วย เนื่องจากถูกมองว่าเขาเป็นคนกำหนด ดังนั้นเมื่อทุกอย่างผลออกมาอย่างที่เห็น นายทักษิณก็ต้องรับไปเต็มๆ
อย่างไรก็ดีหากมองกันแบบตีคู่กันไป แม้ว่ามันจะสวนทางกัน นั่นคือ พรรคเพื่อไทย และรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ล้วนแล้วแต่ “ถดถอย” ลง แต่ในทางตรงกันข้าม นายทักษิณ มีแต่ได้อยู่คนเดียว คือได้กลับไทย โดยที่ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว เป็นลักษณะมี “อภิสิทธิ์” อยู่เหนือคนอื่น นั่นคือสิ่งที่เขาได้ โดยไม่ต้องมองว่าสิ่งอื่นๆ รอบตัวเขาดังกล่าวว่าจะ “เสียหรือติดลบ” แค่ไหน ขอเพียงแค่ตัวเองรอด และได้ประโยชน์เป็นพอ
ที่ผ่านมาหลายคนมองตรงกันว่า การเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ส่งผลในทางบวกกับพรรคเพื่อไทย ต่อลูกสาวของตัวเอง ที่เป็นหัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯ รวมไปถึงรัฐบาลแม้แต่น้อย เพราะภาพในเรื่อง “อภิสิทธิ์ชน” อยู่เหนือคนอื่น ล้วนทำลายตัวเขาเอง เนื่องจากในท่ามกลางความรู้สึกว่า “คนต้องเท่ากัน” ในยุคสมัยใหม่ มันได้ลบล้างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแบบนี้ในอดีตลงไปมากแล้ว
อีกทั้งที่ผ่านมา เมื่อความจริงปรากฏออกมาให้เห็นทั้งกับคนเสื้อแดง การ “ข้ามขั้ว” ตั้งรัฐบาล จนกลายเป็น “ตระบัดสัตย์” รวมไปถึงนโยบายหลักๆหลายอย่างที่เคยโม้เอาไว้มาก ก็ทำไม่ได้หลายอย่าง จนถูกเยาะเย้ยเหยียดหยามในโลกโซเชียลฯตลอดเวลา
แน่นอนว่า ปฏิกิริยาทางลบจากสังคมเข้ามา คนที่ผ่านการเมืองมานานอย่าง เขา ก็ต้องรับรู้ได้ ดังนั้นก็ต้องคิดว่า “ยิ่งต้องเคลื่อนไหวให้หนักกว่าเดิม” ออกแรงให้เต็มที่กว่าเดิม รวมทั้งมีการปรับกลยุทธ์ใหม่ ทั้งการ “ควบรวมบ้านใหญ่” ในหลายจังหวัด เช่น ล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดปทุมธานี ที่เขาและครอบครัวต้องลงทุนลงแรงอย่างหนัก เพื่อให้ผู้สมัครที่พรรคเพื่อไทยสนับสนุนชนะได้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยต้อง “หัก” กับลูกน้องเก่า อย่าง “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ก็ตาม ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่ค่อยคุ้มค่านัก เพราะชนะมาแบบฉิวเฉียด อีกทั้งเมื่อชนะแล้วก็ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ เพราะยังติดคดีทุจริตเมื่อหลายปีก่อน
อย่างไรก็ดีสำหรับ นายทักษิณ แล้ว นาทีนี้แล้วคงหยุดไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป แบบว่าต้องไปให้สุด แม้ว่าผลที่ออกมาในตอนนี้ มีแนวโน้มไม่เป็นไปตามที่หวัง เพราะเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจที่ผ่านมายังตามหลังพรรคคู่แข่งแบบ “ยิ่งนาน ยิ่งห่าง”
ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม นายทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางไปจังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นประธานงานบวชที่บอกว่า เป็นงานบวชเพื่อเฉลิมพระเกียรติ และแน่นอนว่า การเดินทางโดยเครื่องบินไปลงที่สนามบินบุรีรัมย์ แล้วต่อไปที่เป้าหมายจังหวัดสุรินทร์ ย่อมมีรัฐมนตรีและคนเสื้อแดงมารอต้องรับกันหนาตา ซึ่งมันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว หากไม่มีใครไปต้อนรับหรือไปน้อย นี่สิแปลกกว่า
ดังนั้น ในมุมการเมืองถือว่านี่คือการเคลื่อนไหวที่เข้มข้น ไม่ต่างจากการ “กระชับพื้นที่” เป้าหมาย ที่หวังผลได้ในอนาคตข้างหน้า เพียงแต่ว่าต้องรอการพิสูจน์ เพราะหากพิจารณาจากผลที่ผ่านมา มันยังไม่ได้แต้ม จนหวั่นเกรงว่า จะกลายแบบ “ขยัน แต่ไม่ได้แต้ม” ถ้าเป็นแบบนั้นจริง มันก็ต้องตั้งคำถามว่า สำหรับเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร !!