วันนี้(14 ก.ค.)นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ประกาศรับรองสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.ชุดใหม่ว่า ลุยไฟอย่างแท้จริง เป็นมติ 5-2 ตนคิดว่า 2 เสียง ที่ไม่เห็นด้วยกับการรับรองเป็นนักกฎหมายและรู้ดีว่าถ้ารับรองไปความวุ่นวายจะเกิดและสุดท้ายจะถูกแจ้งความดำเนินคดีเต็มไปหมด 2 คนนี้จะไม่ติดคุก แต่อีก 5 คนเตรียมตัว ที่ตนกล้าพูดแบบนี้ก็เพราะว่าก่อนที่คุณจะประกาศคุณก็บอกว่าให้ใบส้ม 1 คนคือ คนที่อยู่จังหวัดอ่างทอง ดังนั้นถ้าคุณบอกว่าเค้าไม่มีคุณสมบัติตั้งแต่ต้น แล้วที่เขาไปเลือกคนอื่น คนอื่นไม่โมฆะไปด้วยหรือ เพราะเขาขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่ต้น
การเลือกตั้ง สว.ปี 67 นี้ต่างจากปี 43 ที่มีการรับรองไปก่อนแล้วมาตรวจสอบคุณสมบัติทีหลัง มันเป็นคนละกรณีกัน ตอนปี 43 ก็คือ สว. 200 คนมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ปี 67 ผู้สมัคร สว.เลือกกันเอง ฉะนั้น คนที่คุณให้ใบส้มไปเลือกนายไก่ นายไข่ นายควาย แล้วปรากฎว่า นายไข่ นายควาย เข้าไปเป็น สว.ด้วย ซึ่งหมายความว่า ผู้เลือกเข้ามาไม่มีสิทธิตั้งแต่ต้น แล้วนายไข่ นายควาย ที่ได้เป็น สว.จากคะแนนของคนนี้จะทำอย่างไร แล้วคนที่เสียสิทธิ เพราะคนที่โดนใบส้มไม่ได้ไปเลือกเขา นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเขาถึงฟ้องร้องกันเต็มไปหมด
”ประเด็นของสวอคนหนึ่งที่มีการใช้คำนำหน้าว่า ศาสตร์จารย์ ผมคิดว่าเรื่องนี้เรื่องเขาไม่ได้มองว่า จบสูงจบต่ำ แต่ถ้าเป็นเรื่องของการโกหกคุณสมบัติ กกต. เขาไม่ได้ตรวจ เพราะให้ผู้สมัครรับรองตัวเอง การที่จะมาบอกว่าแจ้งกับ กกต. แล้ว เขาไม่ได้ดู ไม่มีการรีเช็คว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้าตรวจสอบแล้วว่า เป็นเท็จเขาก็มาเอาทีหลัง การสอยทีหลังแบบนี้ ในกระบวนการเลือกตั้งแบบไขว้กันคนนึงเลือกได้ 5 คน ดังนั้น หากมีการขาดคุณสมบัติเกิดขึ้น มันต้องไปทั้งยวง อย่างที่ผมบอกว่า มันคือผลไม้พิษ สุดท้ายเรื่องนี้จะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งโมฆะกกต. ก็เตรียมตัวเข้าปิ้ง นอกจากจะมีการปฏิวัติและนิรโทษให้ กกต.ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันจะไปถึงจุดนั้นหรือไม่ “
นายสามารถ กล่าวต่อว่า คงต้องไปรอดูว่า คดีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รอดหรือหลุด ถ้านายเศรษฐารอด คดีพรรคก้าวไกลถ้ายุบก็บรรลัย สภาผู้แทนราษฎรอาจจะไม่มี อาจจะกลายเป็น สนช.หรือไม่ ถึงมีการเติมเชื้อไฟเข้าไปมากขนาดนี้ นักการเมืองเขารู้กันหมดว่า 2 เดือนนี้อย่าลงทุน เพราะกระบวนการเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หากนำเข้ามาพิจารณาในสภาฯเมื่อไหร่เดือดร้อนเมื่อนั้น จะเห็นได้ว่ากระบวนการพิจารณาไม่กล้าฟันธงว่าจะนิรโทษกรรมให้คดี 112 หรือไม่ เพราะสุดท้ายกรรมาธิการชุดนี้คือ วิสามัญ เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วต้องรายงานให้ที่ประชุมสภาฯทราบ ถึงตอนนั้นจะเป็นฟืนก้อนใหญ่ที่จะมาเติมเชื้อเพลิงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เรื่องนี้ทำให้ตนไม่อยากจะคิด