พรรคก้าวไกล เผยแพร่ความเห็น “สุรพล นิติไกรพจน์” พยานฝ่ายตนเองในคดียุบพรรค อ้าง กกต.ไม่ทำตามขั้นตอน ยื่นศาล รธน.โดยไม่ให้ผู้ถูกร้องชี้แจงข้อกล่าวหา พร้อมชี้การแก้ ม.112 เป็นวิถีทางตาม รธน.เพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ส.ส.ร่วมชุมนุมเป็นเสรีภาพส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค การยุบพรรคต้องระมัดระวัง ไม่เช่นนั้น จะนำไปสู่การทำลายประชาธิปไตย
วันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กแฟนเพจ “พรรคก้าวไกล - Move Forward Party” ได้โพสต์ข้อความ เปิดความเห็น 4 ประเด็น ของ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล มีรายละเอียดระบุว่า
ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายมหาชน นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษากฎหมายของ กกต. เป็นหนึ่งในพยานของพรรคก้าวไกล ที่ทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีที่ กกต.ร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล โดย ศ.ดร.สุรพล ได้ให้ความเห็นต่อคำร้องของ กกต.ใน 3 ประเด็นหลักเกี่ยวกับคดีนี้ ได้แก่
1. คำร้องยุบพรรคก้าวไกลของ กกต.ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?
การยื่นคำร้องยุบพรรคการเมืองของ กกต.ต้องดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ พ.ร.ป. พรรคการเมือง ม.92 และ ม.93 ซึ่ง ม.92 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง และ ม.93 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดกระบวนการขั้นตอนให้ กกต.ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่ง “หลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า” อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคเสียก่อน โดย กกต.ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพิ่มเติมไว้ตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง
กรณี กกต.มีมติเสนอคำร้องยุบพรรคก้าวไกลนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่กระทำตามกระบวนการขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น ต้องถูกเพิกถอนไป
การใช้การตีความกฎหมายจะต้องเป็นไปโดยสอดคล้องกันทั้งระบบและเป็นเอกภาพ ไม่ก่อให้เกิดผลประหลาดในทางระบบกฎหมาย กรณีที่ กกต. เห็นว่า ม.92 คือช่องทางการยื่นยุบพรรคช่องทางหนึ่ง และ ม.93 คืออีกช่องทางหนึ่งนั้น ส่งผลให้วิธีการเสนอคำร้องยุบพรรคมี 2 กระบวนการที่แตกต่างกันอย่างมาก กล่าวคือ แบบที่หนึ่ง ไม่ต้องเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองได้รับทราบข้อกล่าวหาตลอดจนชี้แจงโต้แย้งพยานหลักฐาน แต่ กกต. สามารถยื่นคำร้องต่อศาล รธน.ได้เลย ส่วนแบบที่สอง เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองได้รับทราบข้อกล่าวหาตลอดจนชี้แจงโต้แย้งพยานหลักฐานต่อ กกต. และนายทะเบียนพรรคการเมือง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วทั้ง 2 มาตราเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคเช่นเดียวกัน ต้องยื่นคำร้องให้ศาล รธน. พิจารณาเช่นเดียวกัน และจะส่งผลร้ายแรงถึงขั้นยุบพรรคเช่นเดียวกัน การใช้และตีความกฎหมายเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลประหลาดในทางกฎหมาย เช่นนี้แล้วจะบัญญัติ ม.93 และระเบียบ กกต. ไว้ในกฎหมายเพื่อเหตุผลใด
กกต.ไม่สามารถอ้างคำวินิจฉัยศาล รธน.ที่ 3/2567 มาเป็นฐานในการยื่นยุบพรรคก้าวไกลโดยจงใจไม่ทำตามกระบวนการขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดได้ เนื่องจากเป็นคนละกรณีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังมีกระบวนการขั้นตอนนำคดีขึ้นสู่ศาล ตลอดจนผลในทางกฎหมายที่แตกต่างกัน
2. การกระทำตามคำร้องในคดียุบพรรคก้าวไกล เป็นการล้มล้างการปกครองฯ หรืออาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่?
เมื่อพิจารณาการกระทำตามคำร้องในคดียุบพรรคก้าวไกล ซึ่งมีหลายการกระทำที่มิใช่การกระทำของพรรค แต่เป็นการกระทำในฐานะปัจเจกบุคคลหรือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของ ส.ส. เห็นได้ว่า มิได้เป็นการใช้กำลังบังคับหรือเป็นการกระทำโดยใช้ความรุนแรงเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสิ้นสุดลง หรือเป็นการกระทำที่ใช้อำนาจตาม รธน. เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไปเป็นแบบอื่นแต่ประการใด กล่าวคือ
(1) กรณีการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ม.112 เป็นเพียงการที่ ส.ส. ใช้อำนาจนิติบัญญัติในการเสนอให้รัฐสภาพิจารณาแก้ไขกฎหมายเท่านั้น อันเป็นการกระทำที่ชอบด้วยวิถีทางของ รธน.อีกด้วย วิญญูชนทั่วไปย่อมไม่อาจมีทางที่จะเห็นไปได้โดยสามัญสำนึกว่าการเสนอร่างกฎหมายจะเป็นการบ่อนเซาะทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดังที่ กกต.เสนอความเห็นต่อศาล รธน.ได้
(2) กรณีการเสนอนโยบายแก้ไข ม.112 ตลอดจนการนำนโยบายมาหาเสียงและเผยแพร่นั้น เป็นการนำเสนอนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง โดยมุ่งเน้นประนีประนอมกลุ่มความคิดต่างๆ ในเรื่องนี้ ซึ่งก็คือเรื่องที่ว่าควรจะต้องมีบทบัญญัติคุ้มครองประมุขของรัฐมิให้ถูกหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นในระดับใดและภายใต้เงื่อนไขใดจึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อประคับประคองระบอบประชาธิปไตยให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น กกต. ก็เคยพิจารณาวินิจฉัยยกคำร้องกรณีนโยบายหาเสียงเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม ม.112 ของพรรคก้าวไกลไว้แล้ว และการนำเสนอนโยบายแก้ไข ม.112 มาใช้หาเสียงเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลก็มิได้เป็นการกระทำที่ขัดต่อ พ.ร.ป. การเลือกตั้ง ส.ส. แต่อย่างใด ด้วย กกต. ก็มิได้เคยมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือสั่งห้ามนำเสนอนโยบายดังกล่าวในการหาเสียงแต่อย่างใดเลย
(3) กรณีการแสดงออกผ่านการรณรงค์ การปรากฏตัวในที่ชุมนุมของ ส.ส. ที่เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล มิใช่เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล หากแต่เป็นการใช้เสรีภาพส่วนบุคคลที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย
(4) กรณีการเป็นนายประกันให้แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลย หรือการเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย ในคดีตาม ม.112 ของสมาชิกพรรคก้าวไกลนั้น เห็นว่า การที่ ส.ส. ใช้ตำแหน่งประกอบคำร้องของปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลย มิได้หมายความว่า ส.ส. ผู้นั้นจะเห็นด้วยหรือสนับสนุนการกระทำของผู้ต้องหาหรือจำเลย ทำนองเดียวกับการเป็นทนายความหรือผู้พิพากษาแห่งคดีนั้น นอกจากนี้การกระทำของสมาชิกพรรคกับการกระทำของพรรคเป็นคนละการกระทำกัน หากสมาชิกพรรคถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดก็เป็นการกระทำที่ผู้นั้นต้องรับผิดชอบในการกระทำนั้นเอง ไม่ใช่พรรคการเมืองที่สังกัดอยู่ หากพรรคต้องมารับผิดด้วยย่อมเกิดผลประหลาดในทางกฎหมาย เพราะเป็นการนำการกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาทำลายเสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองของบุคคลอื่นทั้งหมด
3. ศาลรัฐธรรมนูญควรพิจารณาให้ยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่?
มาตรการยุบพรรคการเมืองเป็นมาตรการในการธำรงรักษาประชาธิปไตย แต่กระนั้นการใช้มาตรการนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวัง มิเช่นนั้นอาจนำไปสู่การทำลายระบอบประชาธิปไตยในที่สุด หากการยุบพรรคเป็นไปโดยไม่คำนึงถึงความชอบด้วยกฎหมายและ รธน. และไม่คำนึงถึงบริบทสภาพแวดล้อมของระบบการเมืองแล้ว อาจส่งผลร้ายในอนาคต อันได้แก่ การทำลายดุลยภาพในทางการเมืองระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งอาจนำไปสู่ระบบเผด็จการรัฐสภา คำวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองจึงต้องถูกใช้ในกรณีที่เป็นข้อยกเว้นอย่างแท้จริงเท่านั้น กล่าวคือ เฉพาะกรณีที่การกระทำของพรรคที่ต้องถูกยุบนั้นขัดหรือแย้งกับอุดมการณ์พื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีการแสดงออกที่ชัดแจ้งว่าต้องการเปลี่ยนแปลงด้วยความรุนแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางแห่ง รธน. และมีเหตุผลอย่างหนักแน่นว่าไม่มีหนทางอื่นใดที่จะทำได้นอกจากการยุบพรรคการเมืองนั้น สำหรับการกระทำตามคำร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล ล้วนเป็นการใช้อำนาจหน้าที่หรือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตาม รธน.อันเป็นวิสัยปกติ เป็นการกระทำที่อยู่ในวิถีทางแห่ง รธน. จึงไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรค
สุดท้าย ศ.ดร.สุรพล ยังเสนอความเห็นเพิ่มเติมต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยว่า “การพยายามแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่ซับซ้อนของชาติด้วยการวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ เป็นกระบวนการที่ได้ใช้มาแล้วหลายครั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญและแต่ละครั้งก็ไม่เคยทำให้เกิดทางออกหรือทางเลือกใหม่ที่จะช่วยคลี่คลายวิกฤตทางการเมืองที่เป็นอยู่ ในทางตรงกันข้าม กลับสร้างความโกรธแค้นชิงชังในทางการเมืองให้มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น และยิ่งจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศที่อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้ว กลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้น นอกจากประเด็นข้อกฎหมายที่ได้ให้ความเห็นมาแล้วข้างต้นทั้งหมด ข้าพเจ้าใคร่ขอกราบเรียนต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยความเคารพที่จะได้กรุณาใช้มโนธรรมและความรัก ความห่วงใยในประเทศชาติและประชาชนชาวไทยโดยรวม ในการวินิฉัยชี้ขาดคดีนี้ด้วยเช่นกัน”