เมืองไทย 360 องศา
การลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ของ นายวัน อยู่บำรุง มันสะท้อนให้เห็นถึงแรงกระเพื่อมภายในพรรคเพื่อไทยพอสมควร โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในลักษณะการเมืองแบบ “บ้านใหญ่” ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ทำให้เห็นว่าบางครั้งก็ถึงเวลาต้อง “ตัดเชือก”กันเหมือนกัน หากเห็นว่ามันไม่คุ้มค่า
หากมองย้อนกลับไปหลังจากการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล อย่างหมดรูป ทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครถึงกับต้องสูญพันธุ์ ซึ่งก็ย่อมหมายถึงพื้นที่ฝั่งธนฯ ซึ่งถือเป็นเขตอิทธิพลทางการเมือง ตั้งแต่ในยุคของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง บิดาของ นายวัน ที่ครองพื้นที่มายาวนาน ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับผู้สมัครหน้าใหม่ของพรรคก้าวไกล
หลังจากนั้นความเคลื่อนไหวของ “บ้านอยู่บำรุง” ก็เงียบหายไปพักใหญ่ จนกระทั่งเกิดเรื่องฮือฮากันจน ร.ต.อ.เฉลิม ประกาศตัดความสัมพันธ์ระหว่างกัน เมื่อปลายปีที่แล้ว แบบ “ไม่เผาผี” กันเลย หลังมีรายงานอ้างอิงคำพูดของ นายทักษิณ ที่กล่าวว่า “มีการกวนโอ้ย ทั้งพ่อทั้งลูก จึงไม่มอบตำแหน่งทางการเมืองให้” แต่ต่อมาก็มีการเคลียร์ใจกัน โดยนายทักษิณ ได้ส่ง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลูกสาวไปปรับความเข้าใจ และตามมาด้วยการแต่งตั้ง นายวัน อยู่บำรุง ให้ดำรงตำแหน่ง “ผู้ช่วยรัฐมนตรี” ดังกล่าว ทำให้เข้าใจว่าทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยดี
แต่จู่ๆ ล่าสุด นายวัน อยู่บำรุง ก็ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยอ้างเหตุผลเพื่อความสบายใจของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายวัน อยู่บำรุง สมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะจดหมาย เรื่อง ขอลาออกจากกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยมีเนื้อหาว่า เรียน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
จากกรณีที่มีภาพของผมขณะไปร่วมติดตามผลการนับคะแนนเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี ที่บ้านพักของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ปรากฏตามสื่อต่างๆ ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ให้การสนับสนุนนายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายก อบจ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นคู่แข่งของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ นั้น
ผมขอเรียนชี้แจงว่าตลอดระยะเวลาที่มีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง นายก อบจ.ปทุมธานี ผมในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย ผมทราบดีถึงมารยาททางการเมือง จึงไม่เคยไปร่วมรณรงค์หาเสียงให้กับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ แม้แต่วันเดียว เพราะผมไม่เคยคิดจะทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับพรรคเพื่อไทย และนับตั้งแต่วันแรกที่ผมสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ผมได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ทำงานให้กับพรรคอย่างสุดความสามารถ ผมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพรรคและทำหน้าที่สมาชิกพรรคที่ดีมาโดยตลอด
ผมขอเรียนย้ำว่า ผมและครอบครัวอยู่บำรุง มีความผูกพันกันอย่างแนบแน่นและยาวนานกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ทั้งสองครอบครัวเปรียบเหมือนญาติเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน มีความรักและความจริงใจให้กันมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นยามทุกข์หรือยามสุข ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตกระกำลำบากหรือช่วงที่กลับมามีอำนาจ ครอบครัวอยู่บำรุงและ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก็ให้ความรักและความเอื้อเฟื้อต่อกันมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามจารีตประเพณีที่ดีของสังคมไทยที่คนไทยทุกคนพึงกระทำ
การที่ผมเดินทางไปที่บ้านพัก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ในวันดังกล่าว ก็เป็นเพียงการไปร่วมให้กำลังใจในฐานะคนที่มีความรักและความผูกพันธ์กันมาอย่างยาวนานเท่านั้น และที่สำคัญการเดินทางไปหลังจากมีการปิดหีบเลือกตั้งแล้วของผม ก็ไม่ได้มีส่วนทำให้ผลของคะแนนมีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ดังนั้นผมจึงขอยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวของผมไม่ได้เป็นการกระทำที่เป็นการแสดงออกถึงการต่อต้านหรือเป็นปฏิปักษ์กับพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด โดยเป็นเพียงการแสดงน้ำใจตามมารยาทที่ดีที่สังคมไทยพึงมีต่อกัน ซึ่งผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนที่มีสำนึกความมเป็นไทยเข้าใจตรงนี้ดี และสามารถแยกแยะได้ระหว่างเรื่องการเมืองกับความผูกพันฉันท์มิตรที่ดีต่อกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผมได้รับการประสานจากเลขาธิการพรรค เพื่อให้เข้าพบหัวหน้าพรรค และทันทีที่ผมได้รับทราบถึงความไม่สบายใจของ น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต่อกรณีที่มีภาพของผมในวันดังกล่าวไปปรากฏตามสื่อต่างๆ ดังนั้นเพื่อสร้างความสบายใจให้กับหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคทุกท่าน ผมจึงขอแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าว ด้วยการลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยจะยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการ ต่อท่านสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในลำดับต่อไป
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันถึงผลทางการเมือง จากการลาออกของ นายวัน อยู่บำรุง อาจไม่ถึงขั้นสร้างผลกระทบอะไรมากนัก แต่มันสะท้อนให้เห็นว่า “บ้านเหลิม” กับ “บ้านทักษิณ” คงเชื่อมต่อกันไม่ได้อีกแล้ว ในอนาคตก็ต้องจับตาว่า พื้นที่ย่านฝั่งธนฯ จะอยู่ในมือใคร และพวกเขาจะย้ายสังกัดไปไหน ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวเชื่อมจับมือกับบรรดา “บ้านใหญ่” มากมายทั่วประเทศ เพื่อให้ตรึงพื้นที่เอาไว้ยันกับคู่แข่งอย่างพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งคราวหน้า ที่เวลานี้ยังเป็นรองฝ่ายตรงข้ามอยู่หลายขุม
โดยก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจับมือกับบ้านใหญ่ในหลายจังหวัด เช่น ที่นครราชสีมา ปทุมธานี ที่มีการจับมือกันผลักดันจนสามารถเอาชนะตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมาครองได้ แม้ว่าจะชนะฝ่ายตรงข้าม ที่เคยเป็นลูกน้องเก่า อย่าง“บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ก็ตาม แต่เป็นการชนะแบบฉิวเฉียดก็ตาม และที่นี่เองยังกลายเป็นเรื่องอ่อนไหวจนทำให้ นายวัน อยู่บำรุง ต้องลาออกจากตำแหน่ง “ผู้ช่วยรัฐมนตรี” ดังกล่าว
ดังนั้นหากพิจารณากันตามสถานการณ์แล้ว แม้ว่าในภาพรวมแล้ว นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยกำลังพยายามเชื่อมต่อกับบรรดา “บ้านใหญ่” มากมาย เพื่อรักษาพื้นที่แบบวินวิน แต่อีกด้านหนึ่งก็พยายามเลือกเฟ้นเฉพาะที่มั่นใจได้ ส่วนที่ไม่ชัวร์ก็ต้อง “คัดทิ้ง” เหมือนกับกรณีของ “บ้านเหลิม” ที่ถึงเวลาต้อง “ตัดเชือก” กันแล้ว คงฝืนต่อไปไม่ไหว เมื่อมองออกแล้วว่าไม่คุ้มค่า !!