ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ลุงพี่ทำ ลุงน้องจะแก้ !? สอง "วงษ์สุวรรณ" ทับลาน-ทับซ้อน-ทับรัฐบาล "เศรษฐา" หัวจะปวด
ประเด็นปัญหา“ทับลาน”อำเภอทับลาน จังหวัดนครราชสีมา
เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา เพราะจากพื้นที่รวมประมาณ 2.6 แสนไร่ พื้นที่อนุรักษ์กับพื้นที่ทำกินของประชาชน “ทับซ้อน”
เมื่อ “ทับลาน ทับซ้อน” คนที่ร้อนขึ้นมาก็ต้องเป็นรัฐบาล
“เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี หลังประชุมครม.เมื่อวานนี้ ถูกสื่อถามเข้าจังเบอร์ บอกว่าเรื่องนี้เป็นมติจากรัฐบาลที่แล้วซึ่งมี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เคยกำกับดูแล
วันนี้เป็นเรื่องของสำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ(สคทช.) ที่ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)ภายใต้ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ในฐานะรัฐมนตรีว่าการ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
งานนี้ก็เท่ากับว่าเผือกร้อนทับลานนี้ เป็นเรื่องของสองลุงพี่น้อง “วงษ์สุวรรณ” ลุงผู้พี่ “ลุงป้อม” ทำไว้เป็นมติครม.14 มี.ค.2566 มาถึงพ.ศ.นี้ คนที่ต้องมาแก้ไขปัญหาเป็น “ลุงป๊อด” ลุงผู้น้อง
ลุงพี่ทำไว้ ลุงน้องตามแก้ จะอีรุงตุงนังแค่ไหนยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ “นายกฯเศรษฐา” หัวจะปวด ลั่นวาจา ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริง รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนก่อนจะเพิกถอน ซึ่งมีหลายกระบวนการที่ต้องทำตามกฎหมาย และ นำเสนอครม.ต่อไป
ที่ว่าต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันขรม ว่าจากมติครม.สมัยลุงป้อมดูแล มีนายทุนแห่แหนไปจับจองครอบครองพื้นที่ทับซ้อนกันตรึม
ว่ากันว่า พื้นที่กว่า 2 แสนไร่ มีทั้งชาวบ้านที่อยู่เดิม คนมาซื้อที่ต่อ และกลุ่มนายทุนทำรีสอร์ต ที่ถูกดำเนินคดี 1.2 หมื่นไร่ จะเป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องนำมาพูดคุยว่าจะพิจารณาอย่างไรต่อไป
ขณะที่เรื่องราวกำลังดรามา “ปลอดประสพ สุรัสวดี” อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตปลัดกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระโดดโหนกระแสเพิ่มแสงมาหาตัวขอเป็น “ฮีโร่” ด้วยคน ด้วยการโพสต์ภาพยืนพกปืนหรา พร้อมจัดการกับผู้บุกรุกทับลาน
“ลุงปลอด” โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊กพร้อมกับข้อความว่า “กินทับลาน มีเรื่องกับผมแน่นอน รูปนี้ถ่ายที่อุทยานแห่งชาติทับลานเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ที่พกปืนเพราะกำลังมีเรื่อง ตอนนี้มีคนจะมาเอาทับลานอีกแล้ว
ขอย้ำว่า อธิบดีกรมป่าไม้คนแรกที่ไปจับกุมการบุกรุกทับลานเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วชื่อ “ปลอดประสพ” นะครับ ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนความคิดแน่นอน สงสัยคราวนี้จะต้องอาสาคุณประวัติศาสตร์ หัวหน้าอุทยานทับลานซึ่งเป็นลูกน้องเก่า ไปช่วยเฝ้าอีกเสียแล้ว”
พลันที่โพสต์เผยแพร่ออกไปมีทั้งชื่นชมและกวักเรียกขบวนทัวร์เข้ามาแสดงความเห็นกรณีภาพพกปืนต้องทำขนาดนี้เชียวหรือลุง?!
แหม...แค่ลุงพี่ทำ ลุงน้อง ต้องตามแก้ก็หัวจะปวด ยากจะเชื่อว่า รัฐบาลจะแก้ปัญหาให้ผ่านไปได้หรือ? เจอ “ลุงปลอด”ตัวตึงเล่นใหญ่เข้าไปอีก ทับลาน ทับซ้อน ทับรัฐบาล จะไหวมั้ยท่านนายกฯ?
++ ไม่เชื่อมั่น กกต. บุกร้อง ดีเอสไอ ช่วยเคลียร์ปมฮั้ว จัดตั้ง สว.
การเลือกสว.รอบสุดท้าย ระดับประเทศ เสร็จสิ้นไปตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย. แต่จนถึงวันนี้ กกต.ก็ยังไม่สามารถประกาศรับรองผู้ที่ผ่านการเลือก ได้เป็นว่าที่ สว. 200 คน และผู้ที่ได้ขึ้นบัญชีสำรองอีก 100 คนได้
เพราะมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่ชอบธรรมในหลายๆ กรณี โดยเฉพาะ เรื่องการฮั้ว อันมีที่มาจากการที่ กกต.ไม่เข้มงวดในเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร ปล่อยให้มีการสมัครไม่ตรงกับอาชีพได้
เมื่อมีการท้วงติง แต่ “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. กลับบอกว่า ทำได้ ไม่ผิดกติกา
ตรงจุดนี้ทำให้การเกณฑ์คนมาสมัครทำได้ง่าย เพราะไม่ต้องห่วงว่าคนที่ไปเกณฑ์ ไปจ้างมาลงสมัครนั้น จะมีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มอาชีพหรือไม่ ใครก็ได้ขอให้มา ... นั่นจึงทำให้การบล็อกโหวต การฮั้ว การกาตามใบสั่งทำได้สำเร็จ
เราจึงเห็นทั้ง แม่ค้ากล้วยแขก พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวไก่ แม่ค้าขายหมู ประชาสัมพันธ์เสียงตามสายหมู่บ้าน พิธีกรงานเลี้ยง กระทั่งคนขับรถอดีตนักการเมือง ผ่านการคัดเลือกได้เป็น ว่าที่สว. รอการประกาศรับรองจาก กกต. อยู่ในตอนนี้
ส่วนคนดี เด่น ดัง ที่ไม่ได้อยู่ในขบวนการ รู้ไม่เท่าทันเกม ก็ต้องตกรอบไปตั้งแต่การเลือกระดับ อำเภอ ระดับจังหวัดโน่นแล้ว
ล่าสุด เมื่อวันที่ 8-9 ก.ค. ที่ผ่านมา ทางกกต. ก็มีการประชุมเพื่อสรุปว่าจะเอาไงดี จะประกาศรับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลัง หรือไม่ ถ้าประกาศจะประกาศให้ครบ 200 คนเลยหรือเปล่า แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ต้องมีการประชุมต่ออีกในวันนี้ (10ก.ค.) ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะประกาศได้หรือไม่ ถามไปก็ไม่มีคำตอบ
ท่าทีที่อุบเงียบของ กกต.เช่นนี้ ทำให้ “ทนายอั๋น” ภัทรพงศ์ ศุภักษร ทนไม่ไหว ต้องเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” ขอให้พิจารณารับเรื่อง “ฮั้วการเลือกตั้งสว.”เป็นคดีพิเศษ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ด้วยเห็นชัดว่าวิธีการเลือกสว.ครั้งนี้ ไม่สุจริต เที่ยงธรรม มีการโกงผ่านรูปแบบต่างๆ แต่ กกต. ยังคงนิ่งเฉย ไม่ดำเนินการอะไร ไม่ตอบปัญหาและคำถามของสังคมและผู้ร้องเรียน แต่กลับพยายามจะให้เกิดการรับรอง สว.ทั้ง 200 คน ทั้งที่ยังมีข้อเคลือบแคลงสงสัยของประชาชน
นอกจากนี้ยังมี หลักฐานเรื่องของโพยในห้องน้ำ ที่สอดคล้องกับผลคะแนนเลือกตั้ง แถมยังปรากฏคลิปวิดีโอการสนทนาที่บ่งบอกว่า ฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซง
จึงอยากให้ “ดีเอสไอ” เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะไม่เชื่อมั่นในความกล้าหาญของ กกต. หากดีเอสไอ พบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ก็ขอให้ดำเนินคดีทั้งหมด
“ทนายอั๋น” ไม่เห็นด้วยกับแนวทาง รับรองไปก่อนแล้วค่อยสอยทีหลัง เพราะตัวอย่างมีให้เห็นมาแล้ว จากการเลือกตั้งสส.ครั้งที่ผ่านมา ที่กกต. แทบไม่ได้สอยใครเลย จนถูกมองว่า กกต.ขาดความกล้าหาญ
ทั้งนี้ หาก กกต.มีการประกาศรับรอง สว.ชุดใหม่โดยยังไม่เคลียร์เรื่องฮั้ว เชื่อว่าจะเกิดปรากฏการณ์อย่างน้อย 2 อย่างคือ 1. วันรุ่งขึ้นก็จะมีการรวมตัวกันของผู้สมัคร สว.ทั่วประเทศ ที่ สำนักงานกกต. และ 2. จะมีการแจ้งความดำเนินคดี ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม มาตรา 157 ทั่วประเทศ
ก็ต้องติดตามกันว่า ดีเอสไอ จะรับคำร้องไว้พิจารณาดำเนินการหรือไม่
ขณะเดียวกัน ก็ต้องดูว่า กกต.จะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งจากการประชุมที่ผ่านมามีรายงานว่า ยังมีบางประเด็นที่ต้องให้ทางสำนักงานกกต. ตรวจสอบเพิ่มเติมในส่วนของผู้ได้รับเลือกเป็น สว. เพื่อให้มีข้อเท็จจริงเพียงพอสำหรับการลงมติประกาศผลการเลือก สว. นอกจากนี้ กรรมการยังมีความเห็นต่าง ว่าจะรับรองเพียงบางส่วน หรือว่ารับรองไปทั้ง 200 คน แล้วค่อยมาตามสอยคนที่ทำผิดทีหลัง
ปัญหาเรื่องรับรองแค่บางส่วนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้ เมื่อเดือนเม.ย.43 ที่ประธานรัฐสภา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 กรณีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ซึ่งตอนนั้น กกต.จัดเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา รวม 200 คน เมื่อวันที่ 4 มี.ค.43 แต่รับรองผลเพียง 122 คน ทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ และมีความเห็นแย้งกัน 2 ฝ่าย ระหว่าง สว.ที่ครบวาระ แต่ต้องรักษาการจนกว่าจะได้ สว.ใหม่ครบ กับอีกฝ่ายคือ สว.ใหม่ที่เห็นว่าจำนวน สว. เท่าที่มีก็สามารถทำงานได้
เมื่อไม่มีข้อยุติ ประธานสภา จึงส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า ฝ่ายไหน ควรเป็นผู้ทำหน้าที่ แล้วหากเป็นสว.ใหม่ ที่ยังไม่ครบจำนวนนั้น จะสามารถดำเนินการให้มีการประชุมเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ได้หรือไม่
ซึ่งในครั้งนั้น ศาลฯวินิจฉัยว่า 1. สว.ที่ได้รับเลือกยังไม่ครบ 200 คน ไม่อาจดำเนินการให้มีการประชุมเพื่อปฏิบัติหน้าที่ สว.ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้ได้ และ 2. ในระหว่างที่ สว.ที่ได้รับเลือกยังไม่ครบ 200 คนนั้น สว.ที่สมาชิกภาพสิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 21 มี.ค.43 ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่วุฒิสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้ได้
จึงต้องติดตามว่า หลังการประชุม 3 วันติดต่อ สุดท้ายแล้ว กกต.จะตัดสินใจอย่างไร