ข่าวปนคน คนปนข่าว
** "สุรพงษ์"หายไปไหน!? รถไฟฟ้า"คีรี" ทำผวาซ้ำซาก "สุริยะ" ไม่ไหวจะทน ต้องฟันเอง
เหตุการณ์หวาดระทึกที่ประตูรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู หรือที่เป็นที่รู้จักในชื่อ "นมเย็น" เปิดกลางฟ้าเมื่อวันที่ 4ก.ค.ที่ผ่านมา กลายเป็นคลิปไวรัลที่มีผู้ส่งต่อและแสดงความเห็นกันในโลกโซเชียลฯ จำนวนมาก
ว่าไปแล้วนี่ไปใช่เหตุการณ์ชวนสยองครั้งแรกของรถไฟฟ้าภายใต้สัมปทานของ กลุ่มบริษัทในเครือ BTS ของ "คีรี กาญจนพาสน์"
ทั้งสายสีชมพู "นมเย็น" และสายสีเหลือง"เก๊กฮวย" ทำชาวกทม.ผวาแล้วผวาอีก ตั้งแต่รางหล่น-ล้อหลุด-หยุดกลางอากาศ
ที่ผ่านมา คำถามทิ่มตรงไปที่กระทรวงคมนาคม เพราะเป็นต้นสังกัดสัมปทาน แต่สิ่งที่ประชาชนชาวกทม.ได้เห็นก็คือ "การละคร" จาก "สุรพงษ์ ปิยะโชติ" รัฐมนตรีช่วยคมนาคม ที่รับผิดชอบกำกับดูแลกรมราง ทำขึงขัง จะสั่งนู่นนั่นนี่ สุดท้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับรถไฟฟ้าของคีรี!
คำถามรัวๆถึง “สุรพงษ์” ปกป้องผลประโยชน์ของ “คีรี” เห็นแก่เพื่อนซี้ และ ตอบแทนบุญคุณเจ้าสัว จนไม่คำนึงถึงอะไรเลยหรือ !?
ทั้งๆที่่รถไฟฟ้าคีรีเกิดปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของทรัพย์สิน และชีวิตประชาชน
เหตุการณ์ล่าสุดประตูรถไฟฟ้านมเย็นเปิดกลางอากาศ คนเขารับกันไม่ได้แล้ว “สุรพงษ์” จะรู้หรือไม่!?
กรณีนี้ต้องชื่นชม "สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่อย่างน้อย ยังรู้จักหน้าบาง เป็นเดือดเป็นร้อน ไม่ได้นิ่งนอนใจ
ฟังว่า “สุริยะ”เคลื่อนไหวกำชับให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไปดำเนินการตามบทลงโทษขั้นสูงสุดกับบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) บริษัทในเครือของ BTS ผู้รับสัมปทานตามที่ระบุไว้ในสัญญา
“สุริยะ” ลั่นวาจา จากกรณีนี้ถือเป็นเรื่องความปลอดภัยด้านการขนส่งสาธารณะของประชาชน มิหนำซ้ำในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งสายสีชมพู และสายสีเหลือง ได้เกิดอุบัติเหตุมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งไม่สามารถประนีประนอม หรือ ต่อรองได้!
ว่าแล้ว รมว.คมนาคม ฉายา "สุริยะมือเหล็ก" ก็มอบหมายให้ รฟม. ทุบเปรี้ยง ส่งหนังสือไปยังบริษัทของ “คีรี” ผู้รับสัมปทานถึงบทลงโทษที่จะดำเนินการจากกรณีที่เกิดขึ้น
หากไม่เร่งรัดปรับปรุงมาตรการในการดำเนินการตามที่สัญญากำหนดไว้จะบันทึกผลงาน และ ถูกตัดคะแนน รวมถึงห้ามเข้าร่วมประมูลงานของกระทรวงฯ และจะมีการลดลำดับชั้นผู้รับเหมา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และเน้นย้ำด้านความปลอดภัยสูงสุด
งานนี้ แฟ้มบุคคลขอปรบมือให้ “สุริยะ” แล้วก็ขอประกาศตามหา"คนหาย" ชายชื่อ "สุรพงษ์ ปิยะโชติ" ซึ่งไม่มีผู้ใดพบเห็นมาตั้งแต่วันที่นมเย็นประตูเปิด
** จะรับรองกี่โมง...กกต.ว้าวุ่น ไม่รู้จะประกาศชื่อสว.ชุดใหม่ยังไง เมื่อไหร่
การเลือกสมาชิกวุฒิสภา(สว.) ตามกติกาใหม่ เสร็จสิ้นลงไปแล้วเมื่อ วันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา ปรากฏว่าพลิกโผไปไม่น้อย เพราะคนเด่น คนดัง คนที่คิดว่าจะลอยลำ ตกรอบระดับอำเภอ และระดับจังหวัด ไปเป็นจำนวนมาก เหลือมาถึงรอบการเลือกระดับประเทศ ก็มาเจอการ “ลอบบี้” ให้กาตามโพยที่มีการจัดตั้งกันมา
สว.ชุด 2567 ที่ผ่านการเลือกเข้ามา จึงมีทั้งพวกโนเนม คนที่มีโปรไฟล์ แปลกๆ อาทิ แม่ค้าขายกล้วยทอด พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ แม่ค้าขายหมู ประชาสัมพันธ์เสียงตามสายหมู่บ้าน พิธีกรงานแต่ง งานเลี้ยงทั่วไป ถมยังมี คนขับรถของ “ชัย ชิดชอบ” อดีตประธานรัฐสภา บิดา “เนวิน ชิดชอบ”มาก่อน
นับเป็นความหลากหลายแบบมีวาระซ่อนเร้น
สว.ชุดนี้ถูกขนานนามว่าเป็น “สว.สีน้ำเงิน” ที่มี “ครูใหญ่บุรีรัมย์” เป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลัง ยืนยันด้วยตัวเลขคือ มีว่าที่สว.ที่มาจากจ.บุรีรัมย์ มากที่สุดถึง 14 คน แต่ละคนล้วนแล้วแต่ยึดโยงกับพรรคภูมิใจไทย ขณะที่กรุงเทพฯ มีผ่านเข้ามาแค่ 9 คน เท่านั้น
ในระหว่างกระบวนการเลือกสว. และหลังการเลือก มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาที่ กกต.มากมาย ทั้งเรื่องการเกณฑ์คนไปสมัคร ลงสมัครไปตรงกลุ่มอาชีพ มีการฮั้ว
แต่ “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. กลับบอกว่า การสมัครไม่ตรงกับกลุ่มอาชีพนั้น ไม่มีความผิด โดยระบุว่า เพราะการแสดงเจตนาจะสมัครกลุ่มใดของผู้สมัครนั้น ย่อมเป็นสิทธิของผู้สมัคร สว. ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่ง คดีหมายเลขดำที่ ลต สว 185/2567 วางเป็นแนวทางเอาไว้แล้ว
แน่นอน ย่อมมีเสียงวิพากวิจารณ์ตามมาว่า ถ้าสมัครผิดกลุ่มไม่มีความผิด แล้วจะแยกกลุ่มมาทำไม?
ผู้สมัครบางคนถึงกับออกปากว่า การเลือกสว.ครั้งนี้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ปฏิบัติการแบบ “โหดเหี้ยม หักหลัง และฮั้ว” ซึ่ง “โหดเหี้ยม” คือ ต้องกำจัดจุดแข็งของผู้สมัครที่โปรไฟล์ดี มีชื่อเสียงออกไปก่อน ตั้งแต่รอบเลือกกันเอง เป็นเหตุให้เห็นได้ว่า ผู้สมัคร สว.ชื่อดังจะตกรอบอำเภอ และรอบจังหวัด ส่วน “หักหลัง” คือการเลือก รอบแรก ต้องจับมือกัน แต่รอบต่อไปต้องใช้วิธีการหลอกให้เลือก เกิดการหักหลัง และชี้หน้าด่ากันกลางวง สุดท้ายคือ “ฮั้ว” มีโพยให้กา เห็นได้จากคะแนนที่ออกมา มีกลุ่มหนึ่งที่ได้คะแนนโดด มากกว่าคนอื่นๆ เรียงกันเป็นแถว
การเลือกระดับประเทศ ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย เมื่อ 26 มิ.ย. เสร็จสิ้น จากนั้นก็มีการคาดการณ์ว่า กกต.จะประกาศรับรองผลในวันที่ 3 ก.ค. แบบ “รับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลัง” แต่แล้วก็ยังไม่ประกาศ ต่อมาก็มีกระแสข่าวว่าจะประกาศวันที่ 7 ก.ค. แต่สุดท้ายก็ยังไม่ประกาศ
ขณะนี้ความเห็นจากทั้งว่าที่สว. และ สว.ชุดเก่าที่กำลังจะหมดวาระ เห็นต่างว่า ระหว่างประกาศรับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลัง กับให้ กกต.เคลียร์ปัญหาให้จบก่อนค่อยประกาศ เพราะว่าที่ สว.ไม่ตรงปก และมีที่มาไม่โปร่งใส มีเป็นจำนวนมาก
ความหนักใจของกกต.จึงอยู่ที่ว่า จะดำเนินการอย่างไร หากการสอบสวนพบว่ามีความผิด จะเอาผิดเป็นรายบุคคล หรือจะให้การเลือกสว.ครั้งนี้เป็นโมฆะ ...ซึ่งอย่างหลังนี้คงจะยาก เพราะเท่ากับเป็นการประจานความไร้ประสิทธิภาพของ กกต.เอง
หรือสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะต้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด
ในสถานการณ์ที่ กกต.ยังไม่สามารถประกาศรับรองผลได้ ก็มีเสียงจาก ว่าที่สว.ว่า สว.ชุดเก่า ควรหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรอ สว.ชุดใหม่ มาทำหน้าที่แทน
ขณะที่ “พรเพชร วิชิตชลชัย”ประธานวุฒิสภา ก็ได้นัดประชุมวุฒิสภา ในวันที่ 8 ก.ค.นี้ เพราะสว.ชุดเดิม ยังต้องทำหน้าที่รักษาการ ไปจนกว่า กกต.ประกาศรับรอง สว.ชุดใหม่ ถึงเวลานั้นสว.ชุดเดิมก็ทำหน้าที่ไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องมารยาท หรือ ไม่มารยาท แต่เป็นเรื่องที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และสว.ก็ยังมีเรื่องที่ต้องพิจารณา
ส่วน “เสรี สุวรรณภานนท์” สว. เห็นว่า การจะให้ สว.ชุดเก่าหยุดทำหน้าที่ กกต. ก็ต้องเร่งรับรองสว.ชุดใหม่ อย่าไปสนใจว่า สว.ชุดเก่า จะทำอะไร จะยื้อเวลาหรือไม่ และ สว.ชุดเก่าก็ไม่ควรไปสนใจว่าสว.ชุดใหม่ เขาจะมาทำอะไร
...ข้อสำคัญคือ ไม่ควรมีภาพที่ทะเลาะกันระหว่าง สว.เก่ากับว่าที่ สว.ใหม่ เพราะทุกฝ่ายทุกคน ก็ต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย พอมี สว.ชุดใหม่มา ชุดเก่าก็หมดไป ซึ่งเวลาก็ไม่นาน สิ่งสำคัญคือ ตอนนี้ความเห็นและความขัดแย้งหลากหลายมากมาย เป็นความขัดแย้งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ดังนั้น วิธีการปลดชนวนความขัดแย้งของสิ่งเหล่านี้อยู่ที่ กกต.ต้องเร่งตรวจสอบ และรับรอง สว.ชุดใหม่...
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นปัญหาที่ว่า ตอนนี้มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตการเลือกสว.ยาวเป็นหางว่าว หาก กกต.เลือกวิธีประกาศผลการเลือกสว.ก่อน และสอยทีหลัง จะต้องประกาศทีเดียวให้ครบทั้ง 200 คนหรือไม่
หากทยอยประกาศ จะสามารถเปิดประชุม เพื่อเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภาได้หรือไม่ เนื่องจากกฎหมาย ไม่ได้เขียนไว้ว่า ให้ประกาศได้ร้อยละ 95 เหมือน สส. จึงจะเปิดประชุมได้ และยังมีข้อถกเถียงอีกว่า บัญชีสำรอง สว.100 คน จะสามารถเลื่อนขึ้นมาทดแทนส่วนที่ขาดไปได้เลยหรือไม่ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ กกต. ก็ยังไม่มีคำตอบ
ต้องติดตามกันต่อไปว่า ท่ามกลางเรื่องร้องเรียน ว่ามีการโกงคุณสมบัติ มีการฮั้ว มีการทำโพยเพื่อให้ลงคะแนนตามเป้าหมาย มีการให้อามิสสินจ้างในการสมัคร หากสิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง การเลือกสว.ครั้งนี้ ก็ถือว่า โมฆะ แต่กกต.จะกล้าประกาศเช่นนั้นหรือไม่