เมืองไทย 360 องศา
เวลานี้หากโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคพลังประชารัฐ จะเห็นอาการแปลกๆ ในแบบกระอักกระอ่วนพิกล และยังเป็นลักษณะของความสัมพันธ์สองระดับ นั่นคือ ระดับ“หัวขบวน” หรือระดับเจ้าของพรรค กับพวกที่อยู่ต่างระดับลงมา
แน่อนว่าหากเป็นระดับนำ ก็ย่อมพุ่งเป้าไปที่นายทักษิณ ชินวัตร ที่เข้าใจกันดีว่าเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลในเวลานี้ กับ “คนในบ้านป่า” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คนนั้น และน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ถูก นายทักษิณ เคยกล่าวหาว่า “ชอบสร้างความวุ่นวาย” กับรัฐบาลมาก่อนหน้านี้
หลังจากนั้น ก็มีรายงานข่าวตามมาอีกว่า พรรคเพื่อไทยพิจารณา “เขี่ย” พรรคพลังประชารัฐ ออกจากรัฐบาล โดยระยะหลังเริ่มหนาหู และเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า ไม่พอใจต่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถึงกับกล่าวว่า “ชอบวุ่นวาย”
ขณะเดียวกันหากพิจารณาจากแบ็กกราวด์แล้ว อาจมองภาพได้ชัดขึ้น นับตั้งแต่วันโหวตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ตอนนั้น พล.อ.ประวิตร และคนในเครือข่ายของเขา เช่น วุฒิสมาชิกบางส่วน รวมไปถึงพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้องชายของเขา ก็ไม่ได้โหวตให้นายเศรษฐา ทวีสิน แต่อย่างใด นั่นคือ ร่องรอยของความไม่พอใจและความหวาดระแวงที่เคยเกิดขึ้น
อีกทั้งมีรายงานความเคลื่อนไหวทำนองว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังไม่ละความพยายามในการเป็นนายกรัฐมนตรีสักครั้งในชีวิตก่อนที่จะอำลาการเมือง พร้อมทั้งมีการจับตากรณีหากมีการยุบพรรคก้าวไกล แล้วจะมีพวก “งูเห่า” เข้ามาเสริมทัพ เพิ่มเสียงโหวต รวมทั้งกรณียื่นถอดถอน นายเศรษฐา พ้นจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น ก็ต้องมีการโหวตเลือกนายกฯ กันใหม่
จากสาเหตุดังกล่าวหรือเปล่า ที่ทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องออกมาพูดว่า “คนในบ้านป่าวุ่นวาย” และตามมาด้วยข่าวจะ “เขี่ย” พรรคพลังประชารัฐออกจากรัฐบาล ซึ่งกำลังเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี เมื่อวันก่อน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังกลับออกมาเขาก็บอกว่า ในส่วนของพรรค พปชร.ไม่ได้มีปัญหาอะไร เห็นได้จากการโหวต ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา สมาชิกพรรคพปชร.ยังเหนียวแน่น และพร้อมเพรียง ทั้งนี้ ตนยังได้ยืนยันกับนายกฯไปแล้วว่า พรรคไม่ได้มีปัญหาอะไร พร้อมทั้งได้ขอบคุณนายกฯ ที่ให้สัมภาษณ์สื่อ ว่าจะไม่มีการปรับพรรคพปชร. ออก
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวถึงการรับประทานอาหารของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคพปชร. จะเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้นั้น ตนได้เตรียมสถานที่ไว้แล้ว รอวันที่เหมาะสม เพราะจะต้องดูภารกิจของนายกฯด้วย
จากนั้นวันที่ 25 มิถุนายน เขายังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พรรคพปชร. จะเป็นเจ้าภาพจัดดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลครั้งหน้า มีการเคาะวันหรือยังว่า ในส่วนของพรรคพร้อมแล้ว รอการคอนเฟิร์มจากพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจากที่ผ่านมาอยู่ในช่วงการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 68 หลายคนที่เป็นแกนนำพรรคร่วม ไปอยู่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) งบฯ ยืนยันว่า รอทุกพรรคพร้อม
ถามว่า จะเชิญพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พปชร. มาร่วมเป็นนัดกาวใจ หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ท่านมอบหมายมาตลอด ไม่เคยไป เนื่องจากไม่สะดวก
ด้านนายเศรษฐา กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ได้มีการคุยกับ ร.อ.ธรรมนัส หรือไม่ว่า ไม่ได้พูดคุย แต่ได้พูดไปหลายเวทีแล้ว เรื่องที่มีข่าวความขัดแย้งกันในรัฐบาล ซึ่งก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตนได้เดินคุยกับ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์ สส.พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งก็ได้คุยเรื่องงานอย่างเดียว ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ตรงนี้ขอให้ดูกันต่อไปก็แล้วกัน
“เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่ ร.อ.ธรรมนัส เข้ามาพบก็คุยกันเรื่องน้ำ ที่วันนี้เรามีงบฯ กลางเข้าไป ซึ่งอย่างที่บอกเรื่องงบฯก็ส่วนหนึ่ง ทั้งนี้แต่ละพื้นที่มีความละเอียดอ่อน มีปัญหาเฉพาะเขต ซึ่งเน้นเรื่องการบริหารจัดการกรมชลประทาน การกักเก็บน้ำ ปล่อยน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ หากปล่อยให้ไหลไปตามกรรมของมันอาจจะไม่ใช่การบริหารที่ดี ผมก็เตือนสติทุกท่านไป ใส่เงินก็ส่วนหนึ่ง แต่การใส่ใจสำคัญมากกว่า อย่างที่บอกปีนี้ฝนน่าจะเพิ่มมากขึ้นประมาณ 10% แต่คงไม่ได้มากขนาดนั้น หากบริหารให้ดีเชื่อว่าผลกระทบจากน้ำท่วมคงไม่มี และถ้าบริหารดีจริงๆ น้ำแล้งก็ไม่มีด้วย” นายกฯกล่าว
ส่วนข่าวความขัดแย้งที่ออกมา มักบอกว่าออกมาจากบ้านในป่า นายกฯ จะถือโอกาสเดินเข้าบ้านป่าเพื่อที่จะสร้างความเข้าใจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวอย่างอารมณ์ดี ว่า ”ผมไม่เคยทราบ ผมไม่เดินเข้าป่า ผมอยู่ในกรุงครับ แต่ผมไม่ได้หนีอะไร แต่ถ้าคำว่าเดินเข้าบ้าน หรือเดินป่าผมไม่เดิน ผมรักความสบาย ผมอยู่ในกรุงดีกว่า“
เมื่อถามว่าไม่ได้หมายความว่าให้เดินเข้าป่าไปไหน แต่หมายถึงการไปพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ครับ ถ้ามีโอกาสก็คงจะพบ แต่ผมก็ไม่เคยรู้จักท่าน หากเจอกันในงานต่างๆ หรือท่านมาที่สภาเจอกัน ผมก็คงไปแสดงความเคารพท่าน และอย่างที่เคยบอก ท่านเป็นอดีตรองนายกฯมานาน และเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบก ไม่มีเหตุผลที่จะไปหลีกเลี่ยงหรือไม่ไปพบท่าน และพรรคของท่านก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลมา“
เมื่อฟังจากคำพูดและท่าทีของบุคคลดังกล่าว มันเหมือนกับว่ามีความหวาดระแวง และมีความคิดที่จะปรับพรรคพลังประชารัฐออกจากการร่วมรัฐบาล โดยสาเหตุน่าจะมาจากความเคลื่อนไหวของ “คนในบ้านป่า”
แต่ขณะเดียวกันการปรับพรรคพลังประชารัฐออกไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้ ที่พรรคเพื่อไทยไม่อาจควบคุมทุกอย่างได้อย่างเบ็ดเสร็จ และในสถานการณ์ยังไม่แน่นอนแบบนี้ ที่ทั้ง สถานะของ นายเศรษฐา ทวีสิน และ นายทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ชัวร์ ยังมีชนักปักหลังจากคดีในศาล ซึ่งมีโอกาสออกได้ทุกหน้า อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับคดียุบพรรคก้าวไกล ที่ต้องลุ้นอยู่ตลอดเวลา หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแบบนี้ มันก็ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องตัดเชือก ต้องกล้ำกลืนกันไปก่อน !!