xs
xsm
sm
md
lg

ลิงหลอกเจ้า!? “แม้ว” อ้างต้องหนี 17 ปี เพราะโดนยัดข้อหา แล้วที่ยอมรับผิดตอนขอพระราชทานอภัยโทษ คืออะไร? ** “ก้าวไกล”ดิ้นสู้ ชูประเด็น กกต.ยื่นคำร้องมิชอบ ศาลรธน.ไม่มีอำนาจตัดสินยุบพรรค แต่ไม่เน้นแก้ต่างเรื่องล้มล้างการปกครอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ – อิทธิพร บุญประคอง
ข่าวปนคน คนปนข่าว

** ลิงหลอกเจ้า!? “แม้ว” อ้างต้องหนี 17 ปี เพราะโดนยัดข้อหา แล้วที่ยอมรับผิดตอนขอพระราชทานอภัยโทษ คืออะไร?

ชักเอาใหญ่ “นช.แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร พอหายป่วยโควิด ก็ไปทำสปาหน้า ตามด้วยไปร่วมฉลองงานบวชของ “น้องพีซ” สมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ ลูกชาย “นายเบี้ยว” กฤษฎา หลีนวรัตน์ นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี และเป็นน้องชาย“สส.ฟลุค” มนัสนันท์ หลีนวรัตน์ สส.หนึ่งเดียวของพรรคเพื่อไทย ในจังหวัดปทุมธานี เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา

“ทักษิณ” ก็ยังคงเป็น “ทักษิณ”คนเดิม ให้สัมภาษณ์นักข่าว แบบอหังการ ทั้งที่สถานะของตัวเองยังเป็นนักโทษเด็ดขาดชาย ที่อยู่ระหว่างการพักโทษเท่านั้น

โดยเมื่อนักข่าวถามถึงคดีทำผิด ม.112 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 ที่อัยการสูงสุดนัดส่งตัวฟ้องศาลในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ “ทักษิณ” ก็ทำเป็นไม่ยี่หระ บอกคดีนี้ไม่เห็นมีอะไรเลย นอกจากเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่า ตอนปฏิวัติ ยัดข้อหาอย่างไร

“นช.ทักษิณ” ยังย้ำอีกว่า คดีนี้เป็นคดีที่ไม่มีมูลเลยแม้แต่นิดเดียว และพยายามที่จะนำไปตีความเพื่อให้มันมีมูล และเมื่อคนหนึ่งสังฟ้อง คนอื่นก็ไม่กล้าที่จะสั่งไม่ฟ้อง เลยสั่งฟ้อง ซึ่งไม่ใช่หลักกฎหมาย จริงๆแล้วไม่มีอะไร

ความหมายของ “นช.แม้ว” ก็คือ เมื่ออัยการสูงสุดคนก่อนเคยสั่งฟ้องไว้ เมื่อปี 2559 อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ก็ต้องสั่งฟ้องตาม โดยไม่ได้ยึดหลักกฎหมาย ไม่กล้าที่จะสั่งไม่ฟ้อง นี่ก็ซัดกลางหน้าผากอัยการสูงสุดคนปัจจุบันเข้าเต็มๆ

เท่านั้นยังไม่พอ “ทักษิณ” ยังบอกอีกว่า แบบนี้เขาเรียกว่าเป็นผลไม้ของต้นไม้ที่เป็นพิษ คือการทำคดีแต่ละข้อกล่าวหา ตั้งแต่ต้นที่มีการข่มขู่ ตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวนโดยผู้บังคับบัญชา คดีไม่ควรเป็นคดี

อันนี้ ก็ตีแสกหน้ากระบวนการยุติธรรม ในขั้นตอนพนักงานสอบสวนเข้าอย่างจัง ก็ไม่ทราบว่า ผู้เกี่ยวข้องกับการทำคดีในเวลานั้น จะออกมาตอบโต้ หรือชี้แจงอะไรบ้างไหม

ยิ่งไปกว่านั้น “นช.ทักษิณ” ยังได้กล่าวบนเวทีตอนอวยพรนาค ตอนหนึ่งว่า “ผมไปอยู่เมืองนอก 17 ปี โดนยัดข้อหาทุกอย่าง โดนทุกรูปแบบ ถ้าผมไม่มีธรรมะของพระพุทธเจ้า ผมก็คงตรอมใจ หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย ซึ่งคนๆ หนึ่งผมว่าไม่มีใครโดนมากเท่าผม และล่าสุดก็ยังมีควันหลงอยู่”

เมื่อได้ยินได้ฟัง “นช.แม้ว” พูดแบบนี้ คนที่ความจำยังดีอยู่ ก็ต้องนึกย้อนไปถึง พระบรมราชโองการพระราชทานอภัยโทษลดโทษให้ นายทักษิณ ชินวัตร จาก 8 ปี เหลือ 1 ปี ที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566

ซึ่งเนื้อความในพระบรมราชโองการนั้น ก็ระบุชัดว่า ได้พระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย “ทักษิณ ชินวัตร” ตามที่ได้ยื่นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ หลังจากถูกศาลฎีกาพิพากษาความผิด 3 คดี มีโทษจำคุกรวม 8 ปี

“เมื่อถูกดำเนินคดี และศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกดังกล่าวด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด ขอรับโทษตามคำพิพากษา” ความตอนหนึ่งในประกาศพระบรมราชโองการฯ ระบุ

นั่นก็แสดงว่า ในฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่ง “นช.ทักษิณ” ได้ยื่นทูลเกล้าฯ ขึ้นไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2566 นั้น “นช.ทักษิณ” ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกผิด ตามที่ศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว

แต่ ในงานฉลองบวชนาคที่ปทุมธานี เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา “นช.ทักษิณ” กลับบอกว่าตัวเองโดนยัดข้อหาทุกอย่าง ทุกรูปแบบ

แสดงว่า ที่ยอมรับผิดตอนยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษนั้น ตอนนี้ เปลี่ยนใจ ไม่ยอมรับผิดแล้ว อย่างนั้นหรือ?!


** “ก้าวไกล”ดิ้นสู้ ชูประเด็น กกต.ยื่นคำร้องมิชอบ ศาลรธน.ไม่มีอำนาจตัดสินยุบพรรค แต่ไม่เน้นแก้ต่างเรื่องล้มล้างการปกครอง

หลังจากพรรคก้าวไกล ได้ส่งเอกสารคำชี้แจงแสดงเหตุผล เพื่อสู้คดียุบพรรค ต่อศาลรัฐธรรมนูญไปเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา และบอกว่าจะแถลงถึงรายละเอียดและแนวทางการต่อสู้ ในวันที่ 9 มิ.ย.

คดีนี้ กกต.เป็นผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้พิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่ง “ยุบพรรคก้าวไกล” หลังมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกล มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ เข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีเสนอนโยบายแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา

หากศาลรธน. สั่งยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ห้ามตั้งพรรคใหม่ ห้ามเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองอื่น เป็นเวลาไม่เกิน10 ปี

ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนญ ได้นัดพิจารณาคดี ในวันที่ 12 มิ.ย. พร้อมออกคำสั่งให้คู่กรณี อันหมายถึงพรรคก้าวไกล งดการแสดงความคิดเห็น ก่อนมีคำวินิจฉัย เพราะอาจเป็นการชี้นำประชาชน หรือกดดันศาล อันจะส่งผลกระทบต่อรูปคดี

แต่ พรรคก้าวไกล ไม่สนใจคำสั่งดังกล่าว โดย “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาแถลงเมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.) ว่า ได้ส่งคำชี้แจงสู้คดีไปใน 9 ประเด็น ดังนี้

1. ศาลรธน.ไม่มีขอบเขตอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ 2. กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

3. คำวินิจฉัยเมื่อ 31 ม.ค.67 เรื่องแก้ม.112 ไม่ผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้ 4. การกระทำที่ถูกกล่าวหา ไม่ล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์

5. การกระทำตามคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 31 ม.ค.67 ไม่ได้เป็นมติพรรค 6. โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้าย เมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีวิธีแก้ไขอื่น 7. ศาลรธน. ไม่มีอำนาจตัดสิทธิ์ กก.บห. 8. จำนวนปีในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองต้องได้สัดส่วนกับความผิด และ 9. การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับ กก.บห. ในช่วงที่ถูกกล่าวหา

ใน 9 ประเด็นนี้ “พิธา” ได้เน้นใน 4 ประเด็นหลัก คือ 1. ศาลรธน. ไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ โดย “พิธา” อ้างถึง ขอบเขตอำนาจของศาลรธน. ตามรธน. มาตรา 210 ซึ่งระบุว่า ศาลรธน. มีหน้าที่และอำนาจเฉพาะ คือ (1) พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรธน. ของกฎหมาย หรือร่างกฎหมาย (2) พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ และ (3) หน้าที่ และอำนาจอื่น ตามที่บัญญัติไว้ใน รธน. แต่ไม่มีข้อใดที่บัญญัติให้ศาลรธน. มีอำนาจในการยุบพรรค และตัดสิทธิ์ทางการเมืองเลย

2. กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ ที่กำหนดให้ผู้ถูกร้อง ได้รับทราบ โต้แย้ง หรือแสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาก่อนแต่อย่างใด กล่าวคือ กกต.ยื่นคำร้องยุบพรรค โดยไม่แจ้งให้พรรคก้าวไกล ได้รับทราบ และชี้แจง แสดงเหตุผลในการโต้แย้งในชั้น กกต.ก่อนมีมติ ดังนั้นกระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ในคดีนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

3. การพิจารณายุบพรรคก้าวไกล ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ จะอ้างเรื่องเก่า ที่กล่าวหาพรรคล้มล้างการปกครอง เป็นที่ยุติแล้ว ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 31 ม.ค.67นั้น ไม่ได้ เพราะคำวินิจฉัยในคดีก่อน ไม่มีผลผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้ เนื่องจากมีข้อหาต่างกัน ระดับโทษก็ต่างกัน

ดังนั้น ในคดียุบพรรคการเมือง ไม่ใช่แค่สั่งให้เลิกการกระทำ แต่ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ทั้งหมด

4. พรรคก้าวไกลยืนยันว่า การกระทำที่ถูกกล่าวหานั้น ไม่เป็นการล้มล้างการปกครอง และไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายหาเสียง การยื่นร่างกฎหมายแก้ม.112 ในสภาฯ การแสดงความเห็นในที่สาธารณะ รวมถึงการที่คนของพรรค เป็นนายประกัน หรือเป็นผู้ต้องหาในคดี ม.112

จะเห็นได้ว่า พรรคก้าวไกล ไม่เน้นต่อสู้ในข้อเท็จจริง โดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง แต่ไปเน้นเกี่ยวกับเทคนิกข้อกฎหมาย ว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรค กกต.ยื่นคำร้องโดยมิชอบ !!

เรื่องนี้ “อิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต.ได้ออกมาชี้แจงถึงกระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ที่ถภูกมองว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่า กกต. ยึดระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่จำเป็นต้องแจ้งผู้ถูกร้องก่อน เพราะคำวินิจฉัยของศาลรธน. เมื่อวันที่ 31 ม.ค.67 ถือเป็น “หลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า” มีการกระทำผิดแล้ว จึงไม่ต้องสอบเพิ่ม กกต.สามารถยื่นต่อศาลรธน.ได้เลย และนี่คือข้อเท็จจริงที่ได้แจ้งให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม การถูกร้องยุบพรรคครั้งนี้ ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะออกมาได้เพียงสองหน้าเท่านั้น คือ “ยุบ” หรือ “ไม่ยุบ”

แต่ดูเหมือนว่าพรรคก้าวไกล จะทำใจ และเตรียมรับสถานการณ์ ด้วยการหาพรรคใหม่ไว้รองรับบรรดา สส.ของพรรคแล้ว และยังยอมรับว่าอาจมี “งูเห่า” ที่จะย้ายไปซบพรรคการเมืองอื่น

ต้องจับตา การประชุมตุลาการศาลรธน.ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ ซึ้งอาจจะยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดออกมา แต่ก็น่าจะเห็นแนวโน้มของคดี ว่าจะเดินไปในทิศทางใด รวมทั้งกรอบเวลาในการพิจารณาจะช้า หรือเร็ว


กำลังโหลดความคิดเห็น