วันนี้(4 มิ.ย.)รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ หน่วยเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ความเห็นต่อกรณีที่มีความพยายามนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ว่า ขอพูดแบบตรงไป ตรงมา ว่าไม่เห็นด้วย กัญชา มีประโยชน์มากกว่าโทษ ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ก็ควบคุมได้ ไม่จำเป็นต้องเอากลับไปเป็นยาเสพติด เราปลดล็อกมาแล้ว ก็ต้องมองไปข้างหน้า นี่คือพืชสมุนไพร นี่คือพืชเศรษฐกิจ มันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ได้มหาศาล และมันคือยารักษาผู้ป่วย เราต้องไปสนับสนุนให้เกิดการใช้อย่างกว้างขวาง เราเห็นประโยชน์แล้วในปัจจุบัน และจะเป็นประโยชน์มากมายมหาศาลในอนาคต เมื่อเราใช้เป็น
ตอนนี้ คือ เวลาแห่งการศึกษาเรียนรู้ พอเราก้าวผ่านไปได้ กัญชา จะมีคุณค่ากับประเทศนี้อย่างแน่นอน ไม่ใช่เอาข้อมูลเพียงส่วนเดียว แล้วมาทำลายทุกอย่าง ซึ่งข้อมูล ที่ยกกันมา ก็ไม่รู้ว่า เป็นข้อเท็จจริง หรืออคติ
เราต้องเปิดช่องทาง ที่สามารถลดความทุกข์ ทรมานของผู้ป่วย ให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ใช่ไปตัดความหวังเขา ตีกรอบ ให้มีทางเลือกน้อยลงเรื่อยๆ กัญชา มีศักยภาพเยียวยาคนไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ไม่ต่ำกว่า 24.6 ล้านคน เช่น กลุ่มที่มีปัญหาจากโรคปลอกหุ้มประสาท พาร์กินสัน มะเร็ง ลมชัก อัลไซเมอร์ ผู้ป่วยระยะสุดท้าย ปวดประสาท เด็กที่เป็นออติสติก สมาธิสั้น พวกนี้กัญชาช่วยได้หมดเลย
แล้วที่สำคัญมากคือ กัญชาสามารถนำใช้เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกยาเสพติด ตัวแรงๆได้ มีการพูดถึงกันไหม มีผลวิจัยออกมาแล้ว มีกรณีศึกษามากมาย คนที่เขาเลิกสุรา เลิกยาบ้าได้เพราะใช้กัญชา
แล้วทำไมเราปล่อยให้เหล้า บุหรี่ขายได้อย่างเสรี เด็กเยาวชนไทยติดบุหรี่ เก้าแสนคน ก่อโรคสารพัด ทำไมไม่เอาไปเป็นยาเสพติด ไหนบอกว่าห่วงเยาวชน
อะไรที่เป็นผลเสียของกัญชา คำตอบคือ ถ้าใช้เกินขนาดแล้วจะง่วงเมา แต่ในทางการแพทย์ คนเราเมื่อง่วงเมาแล้ว จะเข็ด มันจะไม่เกิดซ้ำแล้ว บุคลากรสาธารณสุขก็ต้องให้ความรู้กับประชาชน ว่าใช้กัญชาอย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ ให้เริ่มทีละน้อยๆ ค่อยๆ เพิ่ม ถ้าเมาก็ลดขนาดลง
ปัจจุบันคนไทยใช้กัญชาเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม 10 ล้านคน อีกประมาณ 5 ล้านคนใช้กัญชารักษาตนเองอยู่แล้ว ไม่เกิดปัญหาอะไร คนใช้กันมากมายขนาดนี้ ถ้ามีปัญหาจริงทุกคนต้องรับรู้ได้ ต้องมีคนใกล้ตัวบอกเราแน่นอน
มีแต่ข่าวที่ปล่อยออกมาว่าใช้กัญชาแล้วเกิดอาการคลั่ง ก้าวร้าว นั้นไม่จริง นั่นมันเกิดจากเขาไปใช้ยาบ้าหรือสุรามากกว่า
นอกจากนั้น ที่มีการบอกว่า ถ้าอยากใช้ ให้รอหมอสั่ง ไม่ต้องไปปลูกตามบ้าน เรื่องนี้ มันมีเหตุผล ว่าทำไม เขาถึงให้ปลูกตามบ้าน เราต้องเข้าใจ ว่าแพทย์ จำนวนไม่น้อย มีอคติกับกัญชา ไม่ได้เรียนมา ไม่มีในตำรา ได้แต่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะมีการโจมตีกัญชามาตลอด แต่มันก็ทำให้หมอเกิดอคติแล้ว ทีนี้ ก็ไม่สั่งยากัญชา มันน่าเสียดายฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ของกัญชา
ถ้ากัญชาถูกเอากลับไปเป็นยาเสพติดจริง อีกหน่อยเราจะได้ยินข่าวทุกวันว่า มีตำรวจไปจับผู้ป่วยโรคเรื้อรังสูงอายุ ที่ปลูกกัญชา 1 ต้น เอาไว้รักษาตัวเอง เสียเงินค่าประกันเป็นหมื่นบาท หรือถูกขังคุก
แบบนี้เอง จึงควรให้ปลูกตามบ้าน ให้ประชาชน ได้เข้าถึงเอง ใช้เป็นยาสมุนไพร บรรเทาอาการต่างๆ ใช้ชูรสก็ได้ ใช้ป้องกันโรค ทำให้ชาวบ้านมีสุขภาพแข็งแรง ตรงนี้ ก็จะลด ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของรัฐได้มหาศาล เราก็ต้องบอกเขาว่าวิธีการใช้ มีอะไรบ้าง เช่นเรื่อง โรคนอนไม่หลับ มีปัญหาเรื่องการนอน กัญชาช่วยได้ ถ้าเราหลับลึก โรคร้ายจะไม่ถามหา
กัญชาเป็นยาสมุนไพร ชาวบ้านใช้กันเองมานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ เมื่อ 360 ปีก่อน ตอนนั้น ชาวบ้านก็เรียนรู้ปรับตัว ไม่เห็นมีปัญหา เกิดเป็นสูตรยาสารพัดตำรับ
แล้วมาทุกวันนี้ ปัจจุบันเราต้องพึ่งพาต่างชาติ ใช้ยาเคมี หลายแสนล้านบาท ถ้าเรามียาใกล้ตัว ยาใกล้บ้าน มันจะประหยัดเงินของครอบครัว ของประเทศชาติ ได้อย่างมากมาย
หรือว่าคนที่อยากเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด อยากให้เราเป็นทาสต่างชาติแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
การควบคุมกัญชาที่ดี คือออกกฎหมายเฉพาะออกมา ไม่ใช่เอากลับไปเป็นยาเสพติด
“กับกัญชา ใครจะเอาเข้าไปเป็นยาเสพติด ผมอยากให้ฟังข้อมูลให้มันรอบด้านจริงๆ ไม่ใช่ฟังความจากคนไม่กี่คน แล้วก็ตัดสินใจจากข้อมูล ที่มันเจือด้วยอคติ ไม่รอบด้าน ทำแบบนั้น มันจะทำลายโอกาสดีๆ ของประเทศไปอีก บางทีก็ไปเชื่อกันข่าวลือ ข่าวจัดฉาก ข่าวเท็จ ข่าวปล่อย สรุปคือ เรื่องไม่จริง แบบนี้ มันก็ทำร้ายคนที่เขาใช้ประโยชน์ ผู้ป่วยเอย ผู้ประกอบการเอย จะแย่กันหมด”