หลังจากที่ศาลอาญาให้ประกัน “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ในคดี ม.116 กรณีป่วนขบวนเสด็จฯ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยศาลให้ประกันตัวด้วยเงื่อนไขให้ใส่กำไล EM
ล่าสุด วันนี้ (30 พ.ค.) “ตะวัน” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Tawan Tantawan ระบุว่า...
ถึง พี่บุ้ง
พี่บุ้งเคยพูดกับหนูว่า “นี่แหละ เราต้องสู้เพื่อทุกคน ไม่ใช่สู้เพื่อแค่นักโทษการเมือง” พี่บุ้งพูดกับหนูตอนเรานั่งคุยกันถึงเหตุการณ์ที่ผู้คุมทำร้ายร่างกายและด่าทอผู้ต้องขัง เรานั่งคุยกันปนความตลกร้าย ว่า ทั้งๆ ที่เราอดน้ำอดอาหารมาแล้วหลายวัน แต่เรายังมีแรงฮึดลุกขึ้นมาปะทะวาจากับผู้คุมคนนั้นเพื่อช่วยผู้ต้องขัง
มีผู้ต้องขังคนนึงเดินเข้ามาคุยกับเราถึงเหตุการณ์วันนั้นว่าทีแรกเขาคิดว่าเราเป็นผู้ต้องขังจิตเวชที่โวยวายเสียงดัง เพราะเขาไม่รู้ว่าเราโวยวายว่าอะไร เพื่ออะไร เราหลุดหัวเราะออกมาที่เขาคิดว่าเราเป็นจิตเวช หลังจากนั้นเรานั่งคุยกับเขาว่าวันนั้นเราโวยวายว่าอะไร เพื่ออะไร และเพื่อใคร จนท้ายที่สุดเขาก็เข้าใจพวกเรา เช่นเดียวกันกับผู้ต้องขังหลายคนที่ได้คุยกับเราทั้งคู่
เหมือนกับผู้คนในสังคมข้างนอกเลยเนอะพี่บุ้ง เขาได้ยินแค่ว่าเราโวยวายเสียงดังก้าวร้าว แต่คงต่างกันที่ผู้คนภายนอกโลกกว้างไม่ได้มานั่งคุยกับเราเหมือนผู้ต้องขังภายในโลกที่คับแคบอย่างคุก แต่พี่บุ้งมักจะพูดเสมอว่าพี่บุ้งไม่แคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับพี่บุ้ง พี่บุ้งสนใจแค่ว่าพี่บุ้งจะสู้เพื่อทุกคน
ผู้ใหญ่ในประเทศนี้ใจร้ายจังเนอะ คืนหนึ่งหนูผวาหวาดกลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายจนความดันขึ้นสูงจากเหตุการณ์ที่เขามาอุ้มพี่บุ้งออกจาก รพ.ราชทัณฑ์ กลับไปทัณฑสถานหญิงกลาง คืนนั้นหนูผวาจนความดันขึ้นสูง ส่วนพี่บุ้งอ้วกเป็นเลือด และอ้วกเป็นเลือดอยู่เป็นอาทิตย์ กว่าเขาจะส่งตัวพี่บุ้งกลับไป รพ.ราชทัณฑ์ และกว่าเขาจะส่งตัวพี่บุ้งไป รพ.ธรรมศาสตร์
จนแล้วจนเล่า เขาก็ยังใจร้ายกับเราไม่หยุด เขาเอาพี่บุ้งกลับจาก รพ.ธรรมศาสตร์ ไป รพ.ราชทัณฑ์ ทั้งๆ ที่อาการและผลเลือดพี่บุ้งยังไม่ได้ปกติเลย หนูขอกลับไปสู้กับพี่บุ้งที่ รพ.ราชทัณฑ์ พี่บุ้งบอกหนูว่าพี่บุ้งไม่อยากให้หนูตามกลับมาเลย เพราะมันทั้งร้อนและลำบาก แต่เราสู้มาด้วยกันไงพี่บุ้ง ร้อนก็ต้องร้อนด้วยกัน ลำบากก็ต้องลำบากด้วยกันสิ
มีอยู่วันนึงหนูหยิบสมุดของพี่บุ้ง แล้วก็เหลือบไปเห็นข้อความที่พี่บุ้งเขียนไว้ในสมุดว่า “เมื่อใดที่เราหยุดสู้เพื่อคนอื่น คือช่วงเวลาที่เราสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้ว” หนูยิ่งมั่นใจว่า “พี่บุ้งเป็นพี่บุ้งที่สู้เพื่อคนอื่นมาเสมอ”
แค่สามเดือนกว่าเอง มันกลับเหมือนฝันร้ายที่ยาวนานเลย แต่ความเป็นจริงที่พี่บุ้งไม่อยู่แล้ว มันตอกย้ำกับหนูว่ามันไม่ใช่แค่ฝันร้าย หลายครั้งที่หนูตื่นมาแล้วเข้าใจว่าพี่บุ้งยังอยู่ แต่ก็ต้องจบลงด้วยการต้องมานั่งทบทวนและยอมรับความเป็นจริงว่าพี่บุ้งไม่อยู่แล้ว
แล้วเมื่อไหร่หนูจะตื่นจากฝันร้ายนี้ได้สักที