xs
xsm
sm
md
lg

เจ้าสัว “อยู่วิทยา” เคลื่อนไหวฟ้อง “อดีตบิ๊กตร.-พิธีกรทีวี” เรียก 50 ล้าน ปมกล่าวหาจ่าย 300ล้าน วิ่งเต้นคดีบอส ** “วิษณุ” เนติบริกร คัมแบ็กทำเนียบฯ วัวเคยขา ม้าเคยขี่ของทักษิณ งานนี้ใครสั่งมาคงไม่ต้องถาม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เฉลิม อยู่วิทยา - “บอส”วรยุทธ อยู่วิทยา -วิษณุ เครืองาม - ทักษิณ ชินวัตร
ข่าวปนคน คนปนข่าว

**เจ้าสัว “อยู่วิทยา” เคลื่อนไหวฟ้อง “อดีตบิ๊กตร.-พิธีกรทีวี” เรียก 50 ล้าน ปมกล่าวหาจ่าย 300ล้าน วิ่งเต้นคดีบอส

ครึกโครมขึ้นมาพลัน เมื่อเจ้าสัว “เฉลิม อยู่วิทยา” จากตระกูล“กระทิงแดง” อาณาจักรธุรกิจชื่อดัง เจ้าของธุรกิจ สปายไวน์คูลเลอร์ และ ผู้ร่วมก่อตั้งเรดบูล มอบหมายทนายยื่นฟ้อง “พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร” สมาชิกวุฒสภา อดีต ผบช.น. กับ “น.ส.อุบลรัตน์ เถาว์น้อย” พิธีกรทีวีช่องดังเเห่งหนึ่ง ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าสินไหมทดแทน จำนวน 50 ล้านบาท

นับเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของ “เจ้าสัวเฉลิม” หลังเก็บตัวเงียบมานานท่ามกลางข้อครหาเกี่ยวกับ “คดีบอส อยู่วิทยา” บุตรชาย ซึ่งในคำฟ้องระบุพฤติการณ์ “พล.ต.ท.ศานิตย์ และพิธีกรทีวี” กล่าวหาโดยยืนยันข้อเท็จจริงว่า เจ้าสัวได้วิ่งเต้นช่วยเหลือคดี “บอส”วรยุทธ อยู่วิทยา ให้พ้นความรับผิดตามกฎหมาย โดยรู้อยู่แล้วว่า ข้อความดังกล่าวข้างต้นนั้น ปราศจากมูลความเป็นจริง ทำให้ “เฉลิม อยู่วิทยา” โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อวงศ์ตระกูล ที่สร้างสมมา ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ โดยการโฆษณา

ศาลอาญาได้รับคำฟ้องเป็นคดีอาญาหมายดำที่ 1642/2567 เเละนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 2 กันยายน 2567 เวลา 13.30 น.
“อำพล แก้วปาน” ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก “เจ้าสัวเฉลิม” ขยายความหลังยื่นฟ้องว่า เรื่องของเรื่องมาจากรายการทีวี ที่มี น.ส.อุบลรัตน์ เป็นพิธีกร พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร เป็นแขกรับเชิญ โดยได้บันทึกคลิป VDO แล้วนำไปเผยแพร่ใน TIKTOK โดยพาดข้อความบนคลิปที่ทำให้ผู้ที่รับชม รับฟัง เชื่อว่า “เฉลิม” จ่ายเงิน300ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ “บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา” ทั้งที่ความจริงแล้ว เจ้าสัวเฉลิมไม่เคยพูด และไม่เคยจ่ายเงิน 300 ล้านบาท เพื่อวิ่งเต้นคดีแต่อย่างใด

ทนายอำพล ย้ำว่าการที่ “เฉลิม” ฟ้องทั้งสองคนในครั้งนี้ ก็เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เพียงเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตนเองและครอบครัวเท่านั้น โดยในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ก็เตรียมพยานขึ้นไต่สวนไว้แล้ว

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลพวงที่มีมาจากมหากาพย์ “คดีบอส-วรยุทธ” ที่จะต้องติดตามกันต่อไป


** “วิษณุ” เนติบริกร คัมแบ็กทำเนียบฯ วัวเคยขา ม้าเคยขี่ของทักษิณ งานนี้ใครสั่งมาคงไม่ต้องถาม

ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับเรื่องของ 40 สว. ที่ยื่นถอดถอน “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จากกรณีตั้ง “พิชิตชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไว้พิจารณา โดยไม่ได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งขณะนั้น “เศรษฐา”กำลังอยู่ในภารกิจเข้าร่วมการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ที่ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (23 พ.ค.)

เมื่อ”เศรษฐา” กลับถึงประเทศไทย วันรุ่งขึ้น (25 พ.ค.) ก็ได้เดินทางไปพบ “วิษณุ เครืองาม” อดีต รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงบ้านพัก นัยว่าเพื่อไปขอคำปรึกษาด้านกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีข่าวว่ามีการเจรจาให้ “วิษณุ” มาช่วยงานที่ทำเนียบรัฐบาล ในตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย อีกด้วย

ต่อมา ทั้ง “เศรษฐา” และ “วิษณุ” ต่างยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง !!

คนรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้ติดตามการเมืองมายาวนาน อาจสงสัยว่า ทำไม “เศรษฐา” จึงเลือกใช้บริการของ “วิษณุ ” ที่เป็นรองนายกฯในรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ...ไม่กลัวถูกวางยาหรือ ?

ซึ่ง “เศรษฐา”ไขข้อข้องใจนี้ว่า ถ้ากลัวก็คงไม่ไปชวน !!

หากย้อนไปดูประวัติ และเส้นทางการเมืองของ “วิษณุ เครืองาม” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” นั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เหมือน “วัวเคยขา ม้าเคยขี่” ซะมากกว่า

“วิษณุ เครืองาม” ที่ฝรั่งต่างชาติ ออกเสียงชื่อง่าย แต่ออกเสียงนามสกุลมักจะเพี้ยนนั้น เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา (พ.ศ.2535-2539) เคยรักษาการในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร (พ.ศ. 2535) ต่อมาในปี 2545 เป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลด้านกฎหมายให้รัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” โดยเป็นรองนายกฯ อยู่ถึง 2 สมัย

ต่อมาหลังการรัฐประหาร ปี 2549 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กระทั่งในปี 2557 ก็รับตำแหน่งที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดูแลด้านกฎหมาย และได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ พ้นตำแหน่ง

ในช่วงที่ “วิษณุ” เป็นรองนายกฯ รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2545 นั้น สื่อประจำทำเนียบรัฐบาล ได้ตั้งฉายาให้ว่า “เนติบริกร” ด้วยเหตุผลว่าเป็น “มือกฎหมาย” ผู้มีความสามารถเป็นเลิศในการ “พลิกแพลง” ใช้กฎหมายให้รัฐบาลมีความชอบธรรม ได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม

ไม่เพียงเท่านั้น ช่วงที่เป็นรองนายกฯในรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” บทบาทของ “วิษณุ” ก็ยังโดดเด่น คงเส้นคงวา ในเรื่องการใช้เทคนิกทางกฎหมาย จนได้รับอีก 3 ฉายาตามมา ว่า “ศรีธนญชัยลอดช่อง” ในปี 2562 ...“ไฮเตอร์เซอร์วิส” ในปี 2563 และ“เครื่องจักรซักล้าง” ในปี 2565

ดูจากฉายาแล้ว ระดับ “กูรู” ยังเรียก“ซือแป๋”

ในบางครั้ง คำอธิบายทางกฎหมายของ “วิษณุ” ที่สวนความรู้สึกของมหาชน หลายเรื่อง อย่างเช่น การให้เหตุผลเรื่องการไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน กรณีการถือหุ้นของ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” หรือ การตีความว่า “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่? ซึ่ง “วิษณุ” ก็ชี้แจงถึงการให้เหตุผลเช่นนั้นว่า ในเมื่อ “ลงเรือแป๊ะ ก็ต้องตามใจแป๊ะ” ความหมายคือ ลงเรือลำเดียวกัน ก็ต้องตามใจเจ้าของเรือ เอาไงก็ว่าตามกัน ขืนไป “ขัดใจแป๊ะ” เดี๋ยวก็ถูกถีบตกเรือ!!

เมื่อถึงคราที่ “พล.อ.ประยุทธ์” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ “วิษณุ”ไปเก็บของส่วนตัวที่ทำเนียบรัฐบาล ก็ได้พูดคุยกับสื่อ ถึงอนาคตทางการเมืองว่า จะอยู่บ้านพักผ่อน เล่นกับหลาน รวมทั้งจะเขียนหนังสือ สอนหนังสือ และอาจเข้าไปเป็นประธาน กรรมการบริษัทต่างๆเพื่อจะได้มีรายได้บ้าง

ส่วนจะหวนคืนสู่สมรภูมิการเมืองอีกหรือไม่นั้น “วิษณุ” บอกว่า ไม่มีอะไรทำ จบแล้ว ส่วนตัวก็คิดแบบนี้ ตั้งปี 2549 แต่อีก 8 ปีถัดมา ก็มีเหตุให้ต้องกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มีเหตุให้กลับมาแล้ว เพราะป่วย ต้องฟอกไต

เมื่อถามว่าจะเป็นการปิดประตูทางการเมืองเลย หรือไม่ นายวิษณุ ตอบว่า ใช่ครับ พร้อมแซวแซวผู้สื่อข่าวกลับไป ว่า คุณจะเอาผมไปสาบานที่ไหน เดี๋ยวผมเปิดพุงโชว์ ที่ผ่านมาเคยมีคนมาทาบทาม พูดทีเล่นทีจริง ก็ได้ชี้แจงเรื่องสุขภาพ และได้เปิดพุงโชว์ไปแล้ว

เมื่อถามว่าคนที่มาชวน ใช่ "เพื่อไทย" หรือไม่ “วิษณุ” ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ โดยบอกเพียงว่า เป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจ
ถึงวันนี้ “ผู้ที่มีอำนาจ”มาชักชวน “วิษณุ” จึงมิอาจปฏิเสธได้

“วิษณุ” บอกว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่ตำแหน่งข้าราชการทางการเมือง ไม่มีอัตราเงินเดือน หรือต้องแสดงบัญชีหนี้สิน ทรัพย์สินอะไร และก็ไม่เหมือนตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

ในการพบกับ “เศรษฐา” ที่บ้านพักของตนเองนั้น คิดว่านายกฯคงจะมาบ้านใครสักแห่ง และบังเอิญอยู่ใกล้ๆ บ้านตนเอง จึงแวะเข้ามาพบปะ พูดคุย ซึ่งก็คุยกันหลายเรื่อง ทั้งการเดินทางไปปฏิบัติราชการที่ยุโรป ที่ฝรั่งเศส รวมถึงเรื่อง 40 สว. ที่ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตรวจสอบคุณสมบัติด้วย

เมื่อรับตำแหน่ง “ที่ปรึกษาฯ”แล้ว จะมีโอกาสปูทางสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น อย่างตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหรือไม่ “วิษณุ” ยืนยันว่า ไม่ขอรับตำแหน่งใดทางการเมือง เพราะต้องรักษาตัว ดูแลสุขภาพอยู่

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า เมื่อมี “เนติบริกร” กลับมาร่วมทีมเป็นที่ปรึกษาแล้ว ปัญหาข้อกฎหมายที่รัฐบาลต้องเผชิญ จะทุเลา เบาบางลงหรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น