โฆษกรัฐบาล เผย ครม.เห็นชอบแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 ระยะ ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาไทย เพิ่มวีซ่าฟรี จากเดิม 57 ประเทศ เป็น 93 ประเทศ
วันนี้ (28 พ.ค.) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการในการดำเนินมาตรการและแนวทางการอำนวยความสะดวกการตรวจลงตราเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้ง 3 ระยะ
ทั้งนี้ ครม.เห็นชอบประเทศที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา สามารถพำนักในประเทศไทยไม่เกิน 60 วัน (ผ.60) เพื่อการท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจและการทำงานระยะสั้น จากเดิม 57 ประเทศ เป็น 93 ประเทศ อาทิ อันดอร์รา ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยียม บาห์เรน บรูไน แคนาดา เช็ก เดนมาร์ก เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส ฯลฯ
พร้อมปรับปรุงรายชื่อประเทศที่ได้รับสิทธิตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival: VOA) จากเดิม 19 ประเทศ เป็น จำนวน 31 ประเทศ ได้แก่ อาร์เมเนีย เบลารุส บัลแกเรีย ภูฏาน โบลิเวีย จีน คอสตาริกา ไซปรัส เอลซัลวาดอร์ เอธิโอเปียฟีจี จอร์เจีย อินเดีย คาซัคสถาน คีร์กีซ มอลตา เม็กซิโก นามิเบีย นาอูรู ปาปัวนิวกินี ปารากวัย ฯลฯ
เพิ่มการตรวจลงตราประเภทใหม่ Destination Thailand Visa (DTV) เพื่อให้คนต่างด้าวประสงค์จะพำนักในประเทศไทยเพื่อทำงานและท่องเที่ยวไปพร้อมกัน (workcation) มีคุณสมบัติและสิทธิประโยชน์ ดังนี้
1. คนต่างด้าวประสงค์จะเดินทางมาพำนักเพื่อการท่องเที่ยวระยะยาวและทำงานทางไกล ได้แก่ กลุ่มที่มีทักษะสูง (foreign talent) และกลุ่มอาชีพอิสระ (digital nomad/freelancer) หรือ
2. ประสงค์เข้ามาพำนักเพื่อทำกิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ การเรียนมวยไทยและศิลปะป้องกันตัว การเรียนทำอาหาร การเรียนและฝึกซ้อมกีฬาการรักษาพยาบาล การอบรม การสัมมนา การจัดแสดงศิลปะและดนตรี (ปัจจุบันสามารถขอได้เพียงประเภทนักท่องเที่ยวพำนักได้ 60 วัน และอยู่ได้ครั้งเดียว 30 วัน เท่านั้น การตรวจลงตรา DTV จึงตรงกับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว) ผู้ติดตามของคนต่างด้าว ซึ่งเป็นคู่สมรสและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งมีอายุไม่เกิน 20 ปี โดยคนต่างด้าวจะต้องมีหลักฐานทางการเงิน หรือหลักฐานการสนับสนุนทางการเงินสำหรับการเดินทางหรือมีผู้ค้ำประกันวงเงินไม่น้อยกว่า 500,000 บาท ตลอดระยะเวลาพำนักในประเทศไทย
ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ได้รับการตรวจลงตราประเภท DTV สามารถพำนักในประเทศไทยได้ครั้งละไม่เกิน 180 วัน อัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา 10,000 บาท อายุการตรวจลงตรา 5 ปี และมีสิทธิขยายระยะเวลาพำนักในประเทศไทยได้ 1 ครั้ง ไม่เกิน 180 วัน โดยชำระค่าธรรมเนียม 10,000 บาท และขอเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตราในประเทศได้ โดยการตรวจลงตราเดิมจะสิ้นสุด
และยังเห็นชอบปรับปรุงสิทธิสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาเรียนระดับปริญญาตรีขึ้นไป ที่ได้รับการตรวจลงตรา Non-Immigrant Visa รหัส ED เป็นอำนวยความสะดวกแก่นักศึกษาต่างชาติที่กำลังศึกษาหรือกำลังจะสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศไทยเพื่อดึงดูดผู้ที่มีศักยภาพและทักษะเข้าสู่ตลาดแรงงานของประเทศ ดังนี้
1. ขยายเวลาพำนักในประเทศไทยหลังสำเร็จการศึกษา 1 ปี เพื่อหางาน เดินทางท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ในประเทศไทยได้ แทนที่จะต้องเดินทางออกนอกประเทศทันทีที่สำเร็จการศึกษา โดยต้องมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
2. ให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาดำเนินการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาพำนักกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแทนนักศึกษาจนจบหลักสูตร และให้ยกเลิกการขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก (Re-Entry Permit) ซึ่งนักศึกษาต้องยื่นเรื่องกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทุกครั้งก่อนเดินทางออกนอกประเทศไทยเพื่อรักษาสิทธิการได้รับอนุญาตให้พำนักในประเทศไทย
ส่วน มาตรการระยะกลาง (ประกอบด้วย 3 มาตรการ เริ่มใช้เดือนกันยายน-เดือนธันวาคม 2567) ได้แก่ จัดกลุ่มและปรับลดรหัสกำกับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) จากเดิม 17 รหัส เหลือ 7 รหัส โดยจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนกันยายน ปี 2567
ขณะเดียวกัน ยังปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวพักระยะยาว (Long Stay) สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่ประสงค์ใช้ชีวิตบั้นปลายในประเทศไทย โดยจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนกันยายน ปี 2567 ดังนี้ ปรับลดเงินประกันสุขภาพสำหรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) รหัส 0-A จากเดิมจำนวน 3,000,000 บาท ให้เหลือเท่าก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) คือ 40,000 บาทสำหรับผู้ป่วยนอก และ 400,000 บาท สำหรับผู้ป่วยใน และขยายการเปิดให้บริการการตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์ (e-Visa) ปัจจุบัน กต. ให้บริการระบบ e-Visa ณ สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ 47 แห่ง จากทั้งหมด 94 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 50 โดยจะขยายระบบ e-Visa ให้ครอบคลุมสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่และสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทยทุกแห่งทั่วโลก ภายในเดือนธันวาคม ปี 2567
ขณะที่ มาตรการระยะยาว เริ่มใช้เต็มรูปแบบเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบ Electronic Travel Authorization (ETA) สำหรับกลุ่มคนต่างด้าวที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา เป็นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคัดกรองคนต่างด้าว โดยการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
และเห็นชอบในหลักการเพื่อขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังในการอนุญาตให้ กระทรวงการต่างประเทศ หักเก็บรายได้ค่าธรรมเนียมการกงสุล ในอัตราร้อยละ 50 หรือไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อให้เพียงพอรองรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานการกงสุล ตั้งแต่งบประมาณ พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป จากปัจจุบันหักเก็บรายได้ในอัตราร้อยละ 30
“ยอมรับว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะสูญเสียรายได้จากการดำเนินการขอวีซ่า ถึง 12,300 ล้านบาท แต่ยอดนี้ หากผลตอบแทนที่ได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลเล็งถึงการท่องเที่ยวที่จะสร้างรายได้ไว้ที่ 8 แสนล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาท” นายชัย กล่าว