xs
xsm
sm
md
lg

"พิชัย" รับครม.ศก.ไร้มาตรการน่าตื่นเต้น มุ่งออกสินเชื่อให้แหล่งเงินทุนSMEปลดหนี้ GDPต้องไม่ต่ำ 2.5%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รมว.คลัง รับ ครม.เศรษฐกิจนัดแรกยังไม่มีมาตรการน่าตื่นเต้น มุ่งออกสินเชื่อให้แหล่งเงินทุนเอสเอ็มอีปลดหนี้ ลั่น GDP ปีนี้ต้องไม่ต่ำ 2.5% นายกฯ สั่ง รายงานคืบหน้าทุก 2 สัปดาห์



วันนี้ (27พ.ค.) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง แถลงหลังประชุมครม.เศรษฐกิจ นัดแรก ที่มีนายเศรษฐาทวีสินนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า
คงเป็นที่ทราบกันดีว่า ตัวเลขเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือจีดีพีของประเทศไตรมาส 1 ของเรา ต่ำกว่าที่คาด โดย ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่าจะโต 2.7% แต่ต้องลดลงเหลือ 2.5% จึงต้องมานั่งหารือกันว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด และจะแก้ไขอย่างไร โดยต้องแยกประเภทว่าสิ่งไหนต้องแก้ไขในระยะยาวและเฉพาะหน้า

พร้อมระบุว่า ตัวเลขจีดีพีไทย หากย้อนหลังไป 15 ปี มีลักษณะตกลงตามลำดับ จนปีที่แล้วประเทศไทยได้ 1.9% ส่วนปีนี้ไตรมาสแรกได้ 1.5% ดังนั้นต้องมาดูศักยภาพของประเทศไทย มีพื้นฐานที่ดีไม่น่าจะอยู่ที่เดิม หรือต่ำกว่า 2% ซึ่งไทยต่ำกว่า 3.5 % มาโดยตลอด ขณะที่เพื่อนบ้านมีตัวเลขจีดีพีสูงกว่าไทย

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องย้อนดูระบบเศรษฐกิจ การผลิต การจ้างงาน นำไปสู่การบริโภคถือเป็นวงจร ซึ่งพบว่าภาคการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 57 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากผลผลิตต่ำ นำมาสู่ผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ ทำให้ปัญหาเกิดขึ้นเป็นวงจร ดังนั้นจำเป็นต้องพึ่งการผลิตและและพึ่งกำลังซื้อ ที่ประชุมจึงมีการไล่เรียงดูรายอุตสาหกรรม รวมถึงคุยเรื่องพลังงาน และการท่องเที่ยว ซึ่งการท่องเที่ยวถือว่าฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งนี้ปัญหาภาคการผลิตอุตสาหกรรมรายใหญ่ ยังอยู่ได้แต่รายย่อย ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ก็จะลามมาถึงภาคครัวเรือน ที่ประชุมวันนี้จึงหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาแก้ปัญหาด้วยการแก้ปัญหาสภาพคล่องและให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ถือเป็นปัญหาเร่งด่วน

ส่วนการแก้ปัญหาภาคการผลิตต้องค่อยเป็นค่อยไปและประสานบูรณาการการทำงาน และมีการตั้งขึ้นมาประสานงานกันขณะทำงานเพื่อมาประสานงานกันในระยะยาว

ส่วนการแก้ปัญหาสภาพคล่อง ผู้ว่าฯธนาคารแห่งประเทศไทย ก็มองเห็นปัญหานี้ แต่ก็ต้องใช้เวลา จึงจำเป็นมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อใส่เงินลงไป 1.22 แสนล้านบาท และปีหน้า ได้มีการตั้งไว้อีก 1.6 แสนล้านบาท รวมแล้วเกือบ 300,000 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีการจัดเม็ดเงินวินัยการเงินภายใต้วินัยการเงินการคลัง ดังนั้นการใส่เงินลงไปอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้คนตื่นขึ้นมา และหลังจากนี้ธนาคารของภาครัฐจะมีโครงการอีกจำนวนมาก เพื่อให้คนหลุดจากสภาพหนี้ที่ติดอยู่ได้ ซึ่งภาครัฐจะมีมาตรการเสริมเข้าไป เพื่อให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้

นอกจากนี้สถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ จะมีมาตรการที่ยืดหยุ่นในระยะปานกลาง โดยตนจะมีการหารือกับผู้ว่า
การธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างต่อเนื่องพร้อมจับตาประเด็นเงินเฟ้อเพื่อหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้บริโภค และผู้ผลิตอยู่ได้ โดยจะมาหารือกัน เพราะเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เมื่อมีโจทย์ที่ตรงกันการพูดคุยก็จะแคบขึ้นมา

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบข้อคิดเห็นพร้อมให้พร้อมนโยบายให้นโยบาย ว่า ให้ไปสรุปมาตรการและความคิดเห็นต่างๆ ภายใน 2 สัปดาห์ ค่อยมารายงานความคืบหน้า เพื่อให้เกิดการผลักดันเศรษฐกิจ ไปพร้อมกับระบบการเงินการคลัง ซึ่งตนจะเป็นผู้ประสานงานและทำงานร่วมกันกับธนาคารแห่งประเทศไทย

“วันนี้ยังไม่มีอะไรที่ตื่นเต้นมากเท่าไหร่ เอาสิ่งที่เห็นมาวางบนโต๊ะเพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น”
นายพิชัย ยังกล่าวได้ว่า สิ่งที่จะขับเคลื่อนคือการดึงจุดแข็งของประเทศไทยออกมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเกษตร ในอนาคตจะมีการผลักดันให้มีราคาสูงขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพราะต่างประเทศมีการนำมาใช้แล้ว พร้อมกับการพัฒนาสินค้าภาคการผลิตทุกวิถีทางโดยจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้จีดีพีโตขึ้น

ผู้สื่อข่าวถาม การคาดการณ์จีดีพีในปี จะ สามารถโตเกินกว่า 2.5% ได้หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ถ้าถามตน เราก็ต้องทำทุกวิถีทาง แต่ส่วนตัวยังตอบไม่ได้ แต่คิดว่ายังไงเสีย ตนก็ไม่พอใจ ที่2.5% แน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น