สตง. สรุปผลตรวจสอบ 5 ระยะ ตลอด 3 ปี นโยบายเกรดเอ "โครงการคนละครึ่ง" ของรัฐบาลชุดก่อน ที่คนไทยยังคงถวิลหา พบอะไรบ้าง? หลังใช้เงินกู้ฯ ทั้งสิ้น 213,300 ล้าน เฉพาะระยะที่ 5 ลดเป้าหมาย 29 ล้านคน เหลือ 26.50 ล้านคน พบข้อบกพร่อง ผู้ใช้สิทธิ--การใช้สิทธิ แหกหลักเกณฑ์เงื่อนไข เพียบ! เผยหลังปรับเข้าระยะ 5 ประชาชน-ร้านค้า ส่วนใหญ่เกรงกลัวกระทำผิดหลักเกณฑ์เงื่อนไข หลังใช้กฎหมายเรียกเงินคืน เกือบ 300 ราย
วันนี้ (27 พ.ค.2567) มีรายงานจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สตง. ได้เผยแพร่ ผลตรวจสอบ "โครงการคนละครึ่ง" ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการทางเศรษฐกิจ ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี
โดยเฉพาะ โครงการฯ ระยะที่ 1- 5 ที่รัฐบาลยุุุคนั้น นำมาใช้รับมือกับผลกระทบที่ประชาชนเผชิญในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พบว่า โครงการใน 4 ระยะแรก ตั้งแต่ ต.ค. 2563 ถึง เม.ย. 2565
มีกลุ่มเป้าหมายในแต่ละระยะ ได้แก่ ประชาชนสัญชาติไทยที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันลงทะเบียน มีบัตรประจำตัวประชาชน
และไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 10 ล้านคน / 15 ล้านคน / 28 ล้านคน / 29 ล้านคน ตามลำดับ รวมวงเงินที่ใช้ในการดำเนินโครงการทั้งสิ้น 213,300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด สตง. ได้ตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพโครงการคนละครึ่ง "โครงการฯ ระยะที่ 5" ที่พบว่า ได้มีการปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการลงจากโครงการฯระยะที่ 4 ซึ่งมีจำนวน 29.00 ล้านคน คงเหลือ จำนวน 26.50 ล้านคน
ใกล้เคียงกับจำนวนผู้ใช้สิทธิของโครงการฯ ระยะที่ 4 จำนวน 26.38 ล้านคน และยังมีการติดตามการใช้สิทธิของประชาชนโดยกำหนดเวลาการใช้สิทธิเพื่อเปิดให้ประชาชนที่สนใจและมีความประสงค์จะได้รับสิทธิอีกได้มีโอกาสลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ
เมื่อ ส.ค. 2565 หน่วยรับตรวจได้มีมาตรการออกแถลงข่าวแจ้งเตือนและป้องปรามประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้าให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ ระยะที่ 5 อย่างต่อเนื่อง
ส่วนการตรวจสอบพิจารณา และวินิจฉัยการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดเงื่อนไขของโครงการฯ ยังคงเป็นไปตามกระบวนการพิจารณาของคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องอุทธรณ์สำหรับโครงการฯ ที่ปฏิบัติเช่นเดิม
ในรายงานที่เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์จากการตรวจสอบ พบว่า หน่วยรับตรวจได้ปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 5 อีกทั้งมีมาตรการแจ้งเตือนและป้องปรามประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้าให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ ระยะที่ 5 อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ผลการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพโครงการฯ ตลอด 4 ระยะ สตง. พบข้อบกพร่องที่สำคัญ อาทิ ผู้ใช้สิทธิและการใช้สิทธิโครงการฯ ไม่เป็นไปตามค่าเป้าหมายตัวชี้วัด ปัญหาการดำเนินการกับผู้ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ เป็นต้น
"มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ไม่เป็นไปตามงบประมาณที่ขอรับจัดสรรไว้ ซึ่งจากข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 2565 มีเงินงบประมาณคงเหลือที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น 23,153.14 ล้านบาท"
รายงานผลการตรวจสอบดังกล่าว เจาะลึกไปถึง "ผู้ใช้สิทธิและการใช้สิทธิโครงการฯ ใน ระยะที่ 1 ถึงระยะที่ 4" จำนวน 9.98 ล้านคน/ 14.79 ล้านคน/26.35 ล้านคน/26.38 ล้านคน ตามลำดับ หรือคิดเป็นร้อยละ 99.76/98.62/ 94.10/90.98 ตามลำดับ
แม้ภาพรวมจะมีจำนวนผู้ใช้สิทธิมากกว่าร้อยละ 90 ของกลุ่มเป้าหมาย แต่การที่จำนวนผู้ใช้สิทธิต่ำกว่าค่าเป้าหมายตัวชี้วัดที่โครงการฯ กำหนด ประกอบกับผู้ใช้สิทธิบางรายไม่ได้ใช้จ่ายครบตามวงเงินที่ได้รับ
ส่งผลให้การเบิกจ่ายเงินไม่เป็นไปตามงบประมาณที่ขอรับจัดสรรไว้ 23,153.14 ล้านบาท แม้ว่าเงินงบประมาณจำนวนดังกล่าวเป็นเพียงการกันวงเงินงบประมาณ
แต่หากการกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดสูงเกินกว่าจำนวนผู้ใช้สิทธิมาก จะทำให้เกิดค่าเสียโอกาส ที่รัฐบาลจะนำเงินในส่วนนี้ไปใช้ในโครงการอื่น ๆ ที่สำคัญและเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือประชาชน สังคมและเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19
ทั้งนี้สาเหตุที่จำนวนผู้ใช้สิทธิไม่เป็นไปตามค่าเป้าหมายตัวชี้วัด เกิดจากสภาพแวดล้อมและปัจจัยภายนอกช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19
ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินนโยบายภาครัฐเพื่อช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาด เช่น การขอความร่วมมือจากประชาชนให้ทำงานที่บ้าน (Work from Home)
ประกอบกับประชาชนมีความตระหนักในการป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาดในแต่ละรอบ จึงอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้เข้าร่วมโครงการฯ และจำนวนผู้ใช้สิทธิ
ยังพบว่า มีร้านค้าและประชาชนที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ และหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ ซึ่งได้จัดส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
"รวมถึงการระงับสิทธิการใช้งานแอปพลิเคชัน และเรียกเงินคืน จำนวน 296 ราย ซึ่งการตรวจพบการกระทำผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ เกิดจากการตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายสินค้าและบริการที่มีความผิดปกติและนำไปสู่การสืบสวนขยายผลการกระทำผิด"
แม้ว่าจะมีการประชาสัมพันธ์เพื่อป้องปรามการกระทำผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างต่อเนื่องตลอดจนการปรับปรุงพัฒนาแอปพลิเคชันเป๋าตังและถุงเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงตรวจพบการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อยู่เป็นระยะ ๆ
สตง. มีข้อสังเกตว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบ มีภารกิจหลักที่ไม่สอดคล้องกับโครงการฯเมื่อตรวจพบผู้ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารจำนวนมากจึงส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานภายใต้ภารกิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบ
สตง. ยังพบว่า รัฐบาลได้แก้ปัญหา ในระยะที่ 3 เป็นต้นมา ได้เปิดช่องทางให้ประชาชนผู้ได้รับสิทธิ สามารถใช้สิทธิซื้ออาหารและเครื่องดื่มจากร้านอาหารที่เข้าร่วม "ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร"
โดยผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหารที่สมัคร และได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ แบ่งเป็นผู้ให้บริการที่เข้ามาให้บริการในโครงการฯ ระยะที่ 3 จำนวน 3 ราย และในระยะที่ 4 มีผู้ให้บริการที่เข้ามาให้บริการ เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 2 ราย รวมทั้งสิ้น 5 ราย
เมื่อพิจารณาถึงระยะเวลาการดำเนินโครงการมีระยะเวลาการให้บริการที่สั้นไม่ครอบคลุมระยะเวลาการใช้จ่ายของโครงการฯ เนื่องจากไม่มีการกำหนดระยะเวลาในการเปิดให้บริการหลังจากได้รับอนุมัติ
ซึ่งระยะเวลาในการเปิดให้บริการของผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหารแต่ละรายขึ้นอยู่กับความสามารถในการพัฒนาระบบให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบที่โครงการฯ ใช้ เนื่องจากภาครัฐไม่ได้สนับสนุนเงินงบประมาณในการพัฒนาระบบดังกล่าว
ขณะที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงว่า การกำหนดจำนวนกลุ่มเป้าหมายโครงการฯ ให้ได้ร้อยละ 100 และการมอบหมายให้มีหน่วยงานที่มีภารกิจสอดคล้องกับโครงการฯ มาดำเนินการเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ แทน
เพื่อให้หน่วยงานสามารถปฏิบัติงานตามภารกิจหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น
"เป็นเรื่องที่ยากในทางปฏิบัติเนื่องจากการดำเนินโครงการฯ ภายใต้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ และพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 เป็นเรื่องเฉพาะกิจ และมีความจำเป็นเร่งด่วน ทำให้การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อดำเนินโครงการฯ อาจจะไม่เกิดความคุ้มค่าในระยะยาว"
หน่วยงานเดิม ชี้แจงว่า พบข้อจำกัดเรื่องจำนวนบุคลากรเพื่อดำเนินโครงการฯ ของหน่วยงานที่เป็นองค์กรขนาดเล็กประกอบกับไม่มีหลักเกณฑ์ ระเบียบ และกฎหมาย เพื่อรองรับและควบคุมในการดำเนินโครงการฯ
จึงได้มีข้อเสนอแนะมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจที่สอดคล้องกับโครงการฯ เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการแทน
ล่าสุด มีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานดำเนินการ ตั้งแต่ ระยะที่ 4 ตั้งแต่ เดือนสิงหาคม 2565 แล้ว.