“สมชาย” เผย สว.นับร้อยอยากเข้าชื่อร่วมวินิจฉัยคุณสมบัตินายกฯ คาดศาล รธน.ใช้เวลาวินิจฉัย 2 เดือน ขู่ “เศรษฐา” หากพ้นสภาพนายกฯ เจอเช็คบิล เอาผิดทางอาญาต่อ เตือน “ทักษิณ“ ทำตัวเป็นนายกฯเงา ระวังเจอข้อหาครอบงำ-แทรกแซง
วันนี้(27 พ.ค.) นายสมชาย แสวงการ สว. กล่าวว่าการทำหน้าที่ของสว.ในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัตินายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ หรือปิดเป็นความลับ แต่เมื่อฝ่ายค้านไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบก็เป็นหน้าที่ของสว.ที่จะต้องดำเนินการ เพราะเห็นว่าเป็นกรณีที่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติโดยเฉพาะคุณสมบัติของคนที่เป็นรัฐมนตรีจะต้องเหนือกว่าคุณสมบัติของสส. จะต้องไม่มีความผิดเรื่อจริยธรรมหรือเบื้องหลัง ขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ไม่ใช่ การเมืองแต่เป็นเรื่องของบ้านเมือง คนเป็นนายกฯ จะต้องรับผิดชอบต่อการนำเอาชื่อรัฐมนตรีที่ขัดคุณสมบัติขึ้นทูลเกล้าฯ แม้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)ได้สอบถามคุณสมบัติของนายพิชิต ต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว แต่เป็นการถามเฉพาะรัฐธรรมนูญมาตรา 160 อนุ 6 และ 7 ถือเป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะควรถามมาตรา 160 ทั้งมาตรา ไม่ใช่แค่อนุใดอนุหนึ่ง ไม่ทราบว่าทำไมถึงถามแค่นี้ เป็นเรื่องที่นายเศรษฐา จะต้องไปชี้แจงต่อศาลฯเอง เพราะสว.ได้ตรวจสอบแล้วว่ามีการสอบถามกฤษฎีกาไปแค่ครั้งเดียว คือตั้งแต่การตั้งครม.เศรษฐา 1 เมื่อเดือนก.ย. 66 แต่การปรับครม.ครั้งล่าสุด เมื่อเดือนเม.ย. 67 ไม่มีการสอบถามเรื่องคุณสมบัติของนายพิชิต เพิ่มเติม ทั้งที่ควรสอบถามไปเพิ่มเติมว่านายพิชิตมีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีครบถ้วนตามมาตรา 160 และมาตราอื่นๆหรือไม่
“เรื่องนี้นายเศรษฐารู้อยู่แล้วว่านายพิชิตมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ดังนั้น การที่นายเศรษฐา เป็นผู้ถูกร้องที่ 1 ถือว่าถูกต้องแล้ว เพราะต้องรับผิดชอบต่อการนำรายชื่อครม.ขึ้นทูลเกล้าฯ ถ้ารู้ว่านายพิชิตมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ แต่ยังนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ นายกฯก็จะมีความผิดจริยธรรมร้ายแรง ”
ส่วนที่ต้องมีการปิดรายชื่อ 40 สว. ที่เข้าชื่อตรวจสอบเป็นความลับในตอนแรกนั้น นายสมชาย กล่าวว่าเพราะเคยเกิดกรณีการนำชื่อรายชื่อที่ร่วมตรวจสอบข้อพิพาทกรณีเขาพระวิหารไปเล่นงานสว.และครอบครัว อีกทั้งสว.ที่ลงชื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากถูกตามสัมภาษณ์หรือถูกล็อบบี้ให้ถอนชื่อเพราะแม้แต่วันที่ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว ก็ยังมีความพยายามให้ถอนชื่อออกมาแต่ไม่สามารถถอนชื่อได้แล้ว ทั้งหมดนี้จึงมีความจำเป็นต้องปกปิดรายชื่อและข้อมูลทั้งหมด ข้อมูลเหล่านี้อยู่ที่ตนคนเดียวเพราะมีการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญถึง 14 ครั้ง โดยตนเป็นคนตรวจคนสุดท้าย และเป็นผู้ยื่นต่อศาลด้วยตัวเอง แต่รายชื่อ 40 สว.ที่หลุดออกไป เป็นผลมาจากผู้ถูกร้องไปยื่นขอคัดร้องคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนรายชื่อ 40 คน เดิมจะมีสว.ลงชื่อเกือบ 100 คน ทั้งๆที่ใช้รายชื่อเพียง 25 คนเท่านั้น แต่ตนเห็นว่าได้รายชื่อ 40 คนก็มากเพียงพอแล้ว บางคนแม้ไม่เข้าชื่อ ก็มีส่วนร่วมในการตรวจสอบร่างที่ยื่นต่อศาลฯ หรือบางคนก็ถูกขอร้องไม่ให้เซ็นชื่อ ฉะนั้น ทุกคนลงชื่อด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาขอร้อง
ส่วนการกล่าวหาว่ามีการปลอมรายชื่อสว.ที่ร่วมลงชื่อนั้น นายสมชาย กล่าวว่า กำลังจะพิจารณาว่าจะมีการฟ้องดำเนินคดีหรือไม่ เพราะคนที่เข้าร่วมลงชื่อเสียหาย และยืนยันว่าไม่มีการปลอมรายชื่อแน่นอน เพราะหากมีการปลอมถือว่าผิดกฎหมายเหมือนกรณีสส.เสียบบัตรแทนกัน ที่ศาลมีการตัดสินไปแล้วว่าผิดและมีการตัดสิทธิ์ ส่วนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุว่ารู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ เกรงว่าจะสว.จะถูกเช็คบิลย้อนหลังหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มีความกังวลที่จะถูกตามเช็คบิลย้อนหลัง นายทักษิณกลับไปเลี้ยงหลานดีๆแล้ว ถ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นนายกฯเงา อาจจะมีความผิดข้อหาเกี่ยวกับเรื่องการครอบงำ แทรกแซงได้
“ เรื่องนี้นายเศรษฐาจะต้องไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเชิญนายเศรษฐา สลค. คณะกรรมการกฤษฎีกา สภาทนายความ ไปไตร่สวน หรือถ้าจะเชิญผู้ร้องไปไตร่สวนตนก็พร้อมไปชี้แจง คาดว่าใช้เวลา 2 เดือน ถ้าศาลฯวินิจฉัยว่านายเศรษฐา มีความผิดนอกจากจะต้องสิ้นสภาพการเป็นนายกฯแล้ว จะต้องมีการดำเนินคดีทางอาญาต่อนายกฯ อาจจะไปยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) หรือศาลฎีกาดำเนินคดีต่อไป ”
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่นายกฯจะไปยุ่งเยิงกับพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับกรรมการกฤษฎีกา และสลค.ที่เป็นหน่วยงานในสังกัดของนายกฯ นายสมชาย กล่าวว่า เชื่อว่าเลขาธิการกฤษฎีกา และเลขาครม. แม้จะอยู่ภายใต้ครม. แต่จะทำหน้าที่โดยสุจริต บิดเบือนข้อมูลไม่ได้ การไปยุ่งเยิงกับพยานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้