เมืองไทย 360 องศา
คำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่าเขาเป็นคนแนะนำให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ จนต่อมา นายเศรษฐา ก็ยอมรับว่าได้รับคำแนะนำดังกล่าวจริง จนกระทั่งมีการนัดประชุมกันใน วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคมนี้ และจะมีการประชุมแบบนี้บ่อยขึ้น
หากมองเผินๆ แบบไม่คิดอะไรมากก็มองว่านี่คือการหวังดี ทุกคนมีความหวังดีต่อบ้านเมือง มีความคิดเห็นอะไรก็แนะนำเสนอแนะเข้ามาได้ แต่อีกมุมหนึ่งก็มีความหมายชัดเจนว่า นี่คือการ “ชี้นำแทรกแซง” ทำลายหลักการบริหารบ้านเมืองจนสร้างความสับสน และหมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมาย และที่สำคัญก็คือ เป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ลงไปจนแทบไม่เหลือแล้ว เพราะภาพที่ปรากฏออกมา กลายเป็น นายทักษิณ เป็นผู้สั่งการแทนนายกรัฐมนตรี และออกนอกหน้าชัดเจนแล้ว
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่สวนสาธารณะบึงหนองบอน เขตประเวศ กทม.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคนแนะนำให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ พร้อมทั้งกล่าวว่า ก็มีหลายคนแนะนำ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ก็แนะนำเพราะเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจ เราทำงานกันเป็นทีม ซึ่งนายอนุทิน ก็มาพูดคุยกับตนว่าเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจ เพราะเป็นเรื่องสำคัญตอนที่อยู่ต่างประเทศ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ก็เพิ่งออกมา โดยทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ก็มารายงานตนก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศ 1 วัน ก็พอจะทราบ ตนก็ให้เกียรติสภาพัฒน์ เป็นผู้แถลง
เมื่อถามว่า จะมีการประชุมครม.เศรษฐกิจทุกวันจันทร์เลยหรือไม่ นายกฯ ตอบว่า ก็แล้วแต่ความจำเป็น หรือเป็นการประชุมแต่ละเรื่อง โดยวันที่ 26 พ.ค.เวลา 18.00 น.ตนมีกินข้าวและพูดคุยกับ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง เป็นการเตรียมการก่อนที่จะมีการประชุมครม.เศรษฐกิจ
เมื่อถามว่า ขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมในการชี้แจง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ต่อที่ประชุมรัฐสภา ระหว่างวันที่ 19-21 มิ.ย.แล้วหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า มีความพร้อมแน่นอน ก่อนไปต่างประเทศตนก็ได้คุยกับทีมงานแล้ว เมื่อถามว่าการประชุมครม.เศรษฐกิจ ได้เชิญผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าร่วมประชุมด้วยหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า เข้าใจว่ามีการเชิญผู้ว่าฯธปท. เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ เข้าร่วมประชุมด้วย
ในวันเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่จังหวัดนครราชสีมา ที่แม้ว่าจะเป็นการไปเป็นประธานในพิธีศพของอดีตคนขับรถส่วนตัวที่ใกล้ชิด แต่ภาพที่ออกมาล้วนเป็นเรื่องการเมืองชัดเจน มีการต้อนรับของข้าราชการ ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นักการเมืองมากมาย รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์ที่ไม่ต่างจากผู้นำทางการเมือง หรือระดับนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว ไม่มีการกระมิดกระเมี้ยน แบบไม่แคร์สายตาใดๆ ทั้งที่ตัวเองยังมีสถานะเป็นนักโทษเด็ดขาดที่ยังอยู่ขั้น “พักโทษ” เท่านั้น ยังไม่ได้พ้นโทษแต่อย่างใด
สำหรับความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร วันเดียวกัน เมื่อเวลาประมาณ 11.40 น. ที่ท่าอากาศยานนครราชสีมา อ.เฉลิมพระเกียรติ ได้เดินทางมาถึงด้วยเครื่องบินส่วนตัวเพื่อร่วมงานฌาปนกิจศพ นายวิชัย ช่างเหล็ก คนขับรถในช่วงที่อยู่ในประเทศไทย โดยมีผู้ร่วมเดินทางมาด้วย ได้แก่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และแกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึง นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา
เมื่อคณะของนายทักษิณเดินทางมาถึง ได้มีประชาชนกลุ่มเสื้อแดงมารอรับ พร้อมป้ายข้อความสนับสนุน มีการผูกผ้าขาวม้า และโอบกอด พร้อมขอถ่ายภาพกับนายทักษิณจำนวนมาก โดยมีบางคนตะโกนเชียร์นายทักษิณ เช่น “เรารักทักษิณ คิดถึงท่านมาก” “ยินดีต้อนรับท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ ในดวงใจตลอดกาล” เป็นต้น
จากนั้น นายทักษิณและคณะ ได้เดินทางไปยังร้านส้มตำพันล้าน จ.นครราชสีมา มีนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รวมถึงส.ส.นครราชสีมา และ ส.ส.อีสาน พรรคเพื่อไทย จำนวนหนึ่งมาต้อนรับ
นายทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ ส.ว. 40 คน ให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงหรือไม่ ซึ่งมีการตั้งข้อสงสัยอาจมีการวางยา นายเศรษฐา โดย นายทักษิณ กล่าวว่า ในพรรคเพื่อไทยไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ภายนอกการเมืองก็ยังเป็นการเมือง มีความลี้ลับอยู่พอสมควร
นายทักษิณ กล่าวว่า ประเทศไทยใครเคลื่อนไหวอะไรก็จะรู้ว่าคนนี้เป็นคนของใคร เคลื่อนไหวด้วยเหตุอะไร แต่แน่นอนในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็มีหน้าที่ต้องตอบ ซึ่งต้องเตรียมตอบคำถาม และไม่ว่าใครจะเคลื่อนไหวอย่างไรก็แล้วแต่ หากเราไม่ได้ทำอะไรผิดก็ชี้แจง
“สังคมการเมืองเขารู้ว่าใครเป็นคนของใคร อย่างไร เป็นเรื่องธรรมดา มีเช่นนี้มาช้านานแล้ว” นายทักษิณ ระบุ และว่า คงไม่ถึงขั้นล้มนายเศรษฐาได้ แต่อาจเป็นการสร้างความวุ่นวาย บ้านเมืองชะงักบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่มองว่าจะไม่มาก เพราะหากชี้แจงได้ก็ไม่เป็นอะไร และพรรคเพื่อไทยไม่ต้องเตรียมรับมืออะไร ทำอะไรให้ถูกต้อง ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปหวั่นไหวมาก
แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถี่ยิบ ซึ่งยังรวมไปถึงบทบาทระหว่างประเทศ ตามข่าวที่ยืนยันว่า เขาพยายามทำตัวเป็น “คนกลาง” ในการเจรจาสันติภาพในเมียนมาร์ โดยการประสานชนกลุ่มชาติพันธุ์มาทำข้อตกลง รวมทั้งมีความพยายามพบปะกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อหารือกันในปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาล้วน “ล้มเหลวไม่เป็นท่า” ไม่มีใครให้การยอมรับ พร้อมกับตั้งข้อสงสัยในเรื่องบทบาทว่าอยู่ในฐานะอะไร
อย่างไรก็ดีหากพิจารณาจากบทบาทของ นายทักษิณ ในช่วงนี้ หากให้ประเมินในทางการเมืองแล้ว หลายคนเห็นตรงการว่า “ลบ” มากกว่าบวกแน่นอน เพราะนอกเหนือจากสถานะที่ตัวเองเป็นนักโทษ แล้วไปแสดงบทบาทแบบนี้ยิ่งไม่เหมาะไม่ควร อีกทั้งภาพที่ปรากฏเป็น “นักโทษเทวดา” เป็น “อภิสิทธิ์ชน” ในทางสังคมถือว่าไม่เป็นผลดี เสียเครดิต
ขณะเดียวกันยิ่งมายุ่มย่ามในทางการเมือง ในลักษณะชี้นำ ทำตัว “เหนือนายกรัฐมนตรี” สั่งการรัฐมนตรี ข้าราชการ ก็ยิ่งสร้างความสับสน ทำลายระบบกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมจนป่นปี้
อย่างไรก็ดี หากมองในมุมของเขา แบบเข้าใจในมุมนี้ก็น่าเห็นใจเหมือนกัน เพราะในภาวะที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลกำลังอยู่ในภาวะเสื่อมถอย การแก้ปัญหาหลายอย่างยังไม่คืบหน้า ผลงานของรัฐบาล โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจปากท้องก็ยังไม่กระเตื้อง ตรงข้ามมีแต่ทรุดลงกว่าเดิม ยิ่งเวลานานไปยิ่งไร้ข้ออ้างให้แก้ตัว ขณะที่นโยบายหลักๆ เช่น เติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต ก็ยังลูกผีลูกคน และเสี่ยงผิดกฎหมาย การขึ้นค่าแรงที่รับปากว่าดีเดย์ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ก็ยังไม่ชัวร์ เพราะยังมีแรงต้านจากกลุ่มธุรกิจอย่างรุนแรง โดยอ้างว่ารับภาระไม่ไหว สารพัด
หรือแม้แต่กรณีที่ผลักดัน “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวขึ้นมาเป็นทายาทจะให้เป็นนายกฯคนต่อไป แต่ผลที่ออกมาก็ยังไม่ปัง โดยเฉพาะหลังจากออกมาวิจารณ์ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ทุกอย่างก็ล้วนสะท้อนกลับมาในทางลบจนเสียรังวัดไปพอสมควร
อาจด้วยปัญหาสารพัดที่กำลังรุมเร้าเข้ามา ก็อาจเป็นเหตุผลทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร ยิ่งเร่งเกมให้หนักขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป บรรยากาศที่ไม่เหมือนเดิม และตัวเขาอาจกลายเป็น “คนตกยุค” ไปแล้วก็ได้ ทำให้ภาพออกมาทางลบมากกว่าบวก ขณะเดียวกันยิ่งเคลื่อนไหวมันก็เหมือนกับการทำลาย นายเศรษฐา ทวีสิน ไปด้วย เพราะภาพที่ถูกมองในเรื่อง “นายกฯไม่มีอำนาจ” หรือ “หุ่นเชิด” มันยิ่งชัด กลายเป็นความสับสนให้กับระบบสั่งการที่ต้องรวนไปหมด กลายเป็นยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งทำร้ายทำลายรัฐบาลและตัวเอง พร้อมกัน !!