ก้าวไกลร่วมกับกลุ่มสัปภาคีนอนไบรีฯ จัดประชุมคณะทำงานนัดแรก ยกร่าง “พ.ร.บ.การแก้ไขคำนำหน้านามและการระบุเพศ” ฉบับใหม่ เพิ่มคำว่า “นาม” ไม่ระบุเพศชายหญิงให้เลือก เตรียมเสนอเข้าสู่สภาสมัยหน้า
วันนี้ (24 พ.ค.) ที่ห้อง CA417 อาคารรัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดย นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานคณะทำงานความหลากหลายทางเพศและคนเท่ากันของพรรค ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ เอกราช อุดมอํานวย ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 10 และ ภัสริน รามวงศ์ ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 7 พร้อมด้วย ผู้แทนจากภาคประชาสังคมกลุ่มสัปภาคีนอนไบรีเพื่อรับรองสำนึกทางเพศ (Hepta-Consortium of Non-binary People for Legal Gender Recognition: HCNL) ร่วมกันจัดประชุมนัดแรกเพื่อตั้งคณะทำงานยกร่าง พ.ร.บ.การแก้ไขคำนำหน้านามและการระบุเพศฉบับใหม่
นายธัญวัจน์ กล่าวว่า ถึงแม้สภาผู้แทนราษฎรจะมีมติไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.การรับรองเพศ คำนำหน้านาม และการคุ้มครองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศของพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แต่พรรคก้าวไกลก็ไม่ได้ท้อถอย โดยช่วงเวลาที่ผ่านมา พรรคได้นำความคิดเห็นและข้อท้วงติงของ ส.ส.และประชาชนไปคิดทบทวนและปรึกษาหารือร่วมกับภาคประชาสังคม จนกลายมาเป็นการจัดตั้งคณะทำงานในวันนี้เพื่อนำรายละเอียดจากร่างกฎหมายเดิมมาปรับปรุง และยกร่างฉบับใหม่เป็น “ร่าง พ.ร.บ.การแก้ไขคำนำหน้านามและการระบุเพศ พ.ศ. ....” เตรียมยื่นเข้าสู่สภาฯ ในสมัยประชุมที่จะถึงนี้
นายธัญวัจน์ กล่าวต่อไปว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมีหลักการสำคัญ คือ การให้สิทธิแก่บุคคลในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำนำหน้านามและการระบุเพศให้เป็นไปตามเจตจำนงและอัตลักษณ์ทางเพศของตน (Self-determination) โดยจะแก้ไขคำนำหน้านามตามระบบเดิมเป็น “นาย” หรือ “นางสาว” หรือจะใช้คำนำหน้าว่า “นาม” ที่ไม่มีลักษณะเป็นชายหรือเป็นหญิงก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อทำให้ข้อมูลในทะเบียนราษฎรสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลนั้น ลดอุปสรรคในการดำเนินชีวิตและการยืนยันตัวตนในงานทะเบียนราษฎรต่างๆ อีกทั้งยังเป็นการพิทักษ์สิทธิของประชาชนในการกำหนดอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง รวมถึงเจตจำนงในการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกาย ซึ่งประชาชนต้องได้รับสิทธิและสวัสดิการตามร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
สำหรับข้อกังวลที่สังคมมักตั้งคำถามว่า การปลดล็อกให้ทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงคำนำหน้านามเป็นรูปแบบใดก็ได้ตามเจตจำนงของตน จะสร้างความสับสนวุ่นวายในสังคมหรือไม่ นายธัญวัจน์ กล่าวว่า หากลองคิดมุมกลับ การที่บุคคลใช้คำนำหน้านามแบบไม่สอดคล้องกับเพศสภาพของตนน่าจะสร้างความสับสนให้กับสังคมมากกว่า เช่น บุคคลเพศกำเนิดชายที่เปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายเป็นเพศหญิงแล้ว แต่ยังคงต้องใช้คำนำหน้ามนามว่า “นาย” อยู่ ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และทำให้การยืนยันตัวตนในงานทะเบียนราษฎรต่างๆ เป็นปัญหา ดังนั้นการเปลี่ยนคำนำหน้านามจะทำให้เอกสารทางราชการสอดคล้องไปตามเพศสภาพของแต่ละบุคคล ช่วยลดความสับสนและลดอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของประชาชนได้
“ต่อจากนี้ คณะทำงานจะเร่งเดินหน้ายกร่าง พ.ร.บ.การแก้ไขคำนำหน้านามและการระบุเพศให้เสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้พร้อมยื่นเข้าสู่สภาทันทีเมื่อเปิดสมัยประชุม” นายธัญวัจน์ กล่าวทิ้งท้าย