ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ถ้า “โจ๊ก-สุรเชษฐ์” มีสำนึกอยู่ในใจและปฏิบัติอยู่เป็นนิจ คงไม่พูดถึงพระราชดำรัสในหลวง ร.9 ผิดๆ
กลายเป็นประเด็นที่สะท้อนตัวตนคนอย่าง “โจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อีกครา
เมื่อจะอวดศักดาว่า ข้านี่แหละจะ “หักพาล” ต่อหน้าธารกำนัล ระหว่างไประดมรายชื่อประชาชน เพื่อถอดถอน ป.ป.ช. ฝ่ายตรงข้ามตัวเอง ที่โรงแรมเจเอ ย่านพัทยาเหนือ โดยจับไมค์พูดถึงกระแสรับสั่งในหลวงรัชกาลที่ 9 มาอธิบายว่า ทำไมตัวเองต้องเคลื่อนไหวในเรื่องนี้
ปรากฏว่า “โจ๊ก” พูดผิดๆ ทำเอาคนได้ยินได้ฟังมองกันเลิ่กลั่ก คาดไม่ถึงว่า “ตำรวจนอกราชการ” คนนี้ จะแสดงความทุเรศ ออกมาได้ถึงเพียงนี้
ที่ “โจ๊ก” สุรเชษฐ์ พูดผิด ปรากฏอยู่ในคลิปที่มีผู้บันทึกไว้ เป็นหลักฐานประจักษ์ว่า เจ้าตัวพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านรับสั่งไว้ว่า เราต้องไม่ให้คนดี มามีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง”
คำพูดเมื่อพูดออกไปแล้วเป็นนาย ยิ่งสมัยนี้อยู่ในคลิป ยิ่งแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วก็ยากจะปฏิเสธว่า ถูกตัดต่อกลั่นแกล้ง
งานนี้ “โจ๊ก” พูดผิดเต็มๆ ความหมายก็เปลี่ยนด้วย!
มีที่ไหน “ต้องไม่ให้คนดีมามีอำนาจปกครองบ้านเมือง”
ไม่ต้องแปล แต่ต้องถามว่า ขณะที่ตัวเองพูดนั้น ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ หรือ เพราะตัวตนของ “โจ๊ก” เป็นคนไม่เคยมีความสำนึกในกระแสพระราชดำรัสอยู่เลย ใช่หรือไม่ ?
คนดี ประชาชนปกติทั่วไป ที่น้อมนำจดจำกระแสพระราชดำรัสในหลวง ร.9 บทนี้มาใส่ใจ พร้อมทั้งประพฤติ ปฏิบัติตัว จะไม่มีทางที่จำมาพูดผิดๆ ได้เลย
“โจ๊ก” ทราบไว้ด้วยว่า กระแสพระราชดำรัสในหลวง ร.9 บทนี้จริงๆ มีใจความว่า...
“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
“โจ๊ก” อาจจะปฏิเสธว่า ไม่ได้ตั้งใจจะพูดผิด เจตนาต้องการจะสื่อ ความเคลื่อนไหวของตัวเอง เพื่อโค่นล้มคนไม่ดี คนในป.ป.ช. ที่ไม่ดี ไม่ให้อยู่ในองค์กรดูแลบ้านเมืองในเรื่องปราบปรามป้องกันการทุจริต
แต่...นี่ก็ย้อนแย้งสิ่งที่เป็นอยู่คือ “โจ๊ก” เองตกเป็นผู้ต้องหาคดีพัวพันเว็บพนัน และฟอกเงิน และคนที่ “โจ๊ก”ดิ้นรนตีปิ๊บว่าไม่ดีใน ป.ป.ช. ก็เป็นคนที่เป็นปฏิปักษ์กับตัวเอง แล้วคนในป.ป.ช. ที่เป็นขบวนการช่วยเหลือโจ๊กอีกหลายต่อหลายคดีให้รอด เป็นคนดีเช่นนั้นหรือ ?
ตัว“โจ๊ก”เองเป็นคนดี หรือ คนไม่ดี ย่อมรู้ๆกัน ใครเป็นคนไม่ดี ที่ต้องไม่ให้มามีอำนาจและปกครองบ้านเมืองกันแน่?
มิหนำซ้ำ ถ้า“โจ๊ก” มีสำนึกถึงกระแสพระราชดำรัสของในหลวง ร.9 บทนี้ขึ้นใจ พฤติกรรมในอดีตก็คงไม่เกิด
ไม่นานมานี้ ที่เพียงเพราะต้องการเล่นการเมืองทำลายศัตรูฝ่ายตรงข้ามในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงกับเอาข้อมูล “ตั๋วช้าง” ไปให้ “รังสิมันต์ โรม” สส.ก้าวไกล อภิปรายในสภาฯ
นั่นแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง “โจ๊กและสส.ก้าวไกล” ถือว่าสนิทสนมกันมาก
ก้าวไกล และ แกนนำ “ส้มตัวพ่อ” ผู้อยู่เบื้องหลังก้าวไกลทั้งหลาย คิดอย่างไร เคลื่อนไหวอย่างไร กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำไม “โจ๊ก” จะไม่รู้ นอกเสียจากเป็นพวกเดียวกัน!
เบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องนี้ยังมีอีกมาก ถ้าจะลากพฤติการณ์ของ “โจ๊กและส้ม” ที่ผสมพันธุ์กันลงตัว น่าจะพอๆ กับข้อมูลที่ “โจ๊ก”สั่งลูกน้องเก็บไว้ในคอมพ์ เป็นแสนๆ หน้า
นี่หรือคือคนที่จะน้อมนำกระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน มาประพฤติปฏิบัติตัว!
สรุปว่า “โจ๊ก”ต้องคดี ถูกให้ออกจากราชการ วันนี้ สติแตก แยกแยะถูกผิดไม่ได้แล้ว ที่พูดว่า “ต้องไม่ให้คนดีมามีอำนาจปกครองบ้านเมือง” คิดเป็นอื่นไปไม่ได้ว่า แท้ที่จริงพูดออกมาจากใจ เพราะ จิตใต้สำนึก “โจ๊ก” รู้ตัวเองว่า เป็นคนอย่างไรจึงพูดเช่นนั้นออกมา
“โจ๊ก” ว่าสกัดคนดี ไม่ให้มีอำนาจ ขอถามหน่อย หรือ ต้องให้คนไม่ดีอย่าง “สุรเชษฐ์ หักพาล” มาปกครองบ้านเมือง!
** จับตาการเมือง หลังศาลรธน.รับคำร้องถอดถอนนายกฯ แต่ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
กรณีประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของ 40 สว. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา160 (4) และ (5) หรือไม่
(4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
(5) ไม่มีประพฤติกรรม อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เรื่องนี้ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกร้องที่ 1 ในฐานะที่ได้นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่รู้ หรือควรรู้อยู่แล้วว่า “พิชิต” ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลาหกเดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล รวมทั้งถูกเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพทนายความ
จึงมีเหตุให้ต้องพิจารณาว่า เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือไม่
นับว่าเป็นข้อกล่าวหาที่กว้างมาก!!
แม้ว่าเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 67 “พิชิต ชื่นบาน” ได้ยื่นลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่า จะรับหรือไม่รับคำร้องไว้พิจารณาว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่ ซึ่งมองว่านี่คือ “แผนตัดตอน” ไม่ให้เกิดความเสี่ยงลามไปถึง “เศรษฐา ทวีสิน” โดยเฉพาะความเสี่ยงจากคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว หรือเลวร้ายกว่านั้น หากในที่สุดศาลฯ มีคำวินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติ จนรัฐบาลล้ม และมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่
ล่าสุด วันที่23 พ.ค.67 ศาลรัฐรรมนูญพิจารณาคำร้องแล้วมีมติในเรื่องนี้ ออกมา 3 ประเด็น
ประเด็นแรก ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ให้รับคำร้อง 40 สว. ไว้พิจารณา โดยให้ “เศรษฐา” ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลฯภายใน 15 วัน โดยเสียงข้างน้อย 3 เสียง ในประเด็นนี้ได้แก่ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ , อุดม รัฐอมฤต และ สุเมธ รอยกุลเจริญ
ประเด็นที่ 2 มีมติเสียงข่างมาก 8 ต่อ 1 ไม่รับคำร้องเฉพาะส่วนของ “พิชิต ชื่นบาน” ไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของ “พิชิต”ได้สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (2) จึงไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไป โดย 1 เสียงข้างน้อยคือ อุดม สิทธิวิรัชธรรม
ประเด็นที่ 3 มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ไม่สั่งให้ “เศรษฐา” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลฯจะมีคำวินิจฉัยชี่ขาด ซึ้งประเด็นนี้ เสียงข้างน้อยประกอบด้วย ปัญญา อุดชาชน , อุดม สิทธิวิรัชธรรม , วิรุฬห์ แสงเทียน และ จิรนิติ หะวานนท์
โดยหนึ่งตุลาการฯเสียงข้างน้อย ที่เห็นควรสั่งให้ “เศรษฐา” หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่ว คราวจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย บอกว่า แม้นายกฯ จะสอบถามกฤษฎีกาถึงคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้าม ของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว แต่ไม่ได้ถามครอบคลุมทั้ง มาตรา 160 สอบถามเพียงบางอนุมาตราเท่านั้น และนายกฯ ต้องรับทราบข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่า “พิชิต” ได้กระทำความผิด ตามคำสั่งศาลฎีกา มีโทษสั่งจำคุกไม่รอลงอาญา รวมถึงสภาทนายความ มีมติลงโทษให้ลบชื่อนายพิชิต ออกจากทะเบียนทนายความ
เรื่องนี้นายกฯ ลุ้นอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และให้สัมภาษณ์ว่า น้อมรับมติศาลรัฐธรรมนูญ และ จะหารือกับคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ว่าจะต้องเตรียมข้อมูลรายละเอียดชี้แจงต่อศาลฯ มีอะไรบ้าง ยืนยันเมื่อเข้ามาทำงานทางการเมือง ก็ต้องพร้อมรับการตรวจสอบอยู่แล้ว ขณะนี้ไม่อยากพูดอะไรมาก เกรงว่าจะเป็นการกดดันศาลฯ
“ผมเข้ามาทำงานอยู่ตรงนี้ และอายุเท่านี้แล้ว รู้ตัวว่าต้องทำอะไร ส่วนผู้ที่สนับสนุนผม และรัฐบาล อยากให้ทราบว่า ผมตั้งใจทำงาน แก้ปัญหาควาเดือดร้อนของประชาชน อยากบอกว่าผมมีความตั้งใจในเรื่องนี้มาก”
ขณะที่ “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เราทำถูกต้องทุกอย่าง เพียงแต่ต้องนำหลักฐาน และคนที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง จากนั้นทางตุลาการฯ จะเป็นผู้พิจารณารายละเอียด ข้อวินิจฉัยกฎหมายต่างๆ แต่ขอยืนยันว่า เราทำถูกต้องทั้งหมด ในกระบวนการไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และ เราพร้อมที่จะชี้แจงได้ตลอดเวลา
และในวันเดียวกันนี้ (23 พ.ค.) ก็มีทนายความ เดินทางเข้าพบ “พ.ต.ท.จตุรภูมิ รักษาภักดี” รองผู้กำกับการสอบสวน กองกำกับการ 4 กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ (ปปป.) ยื่นหนังสือ ขอให้ตรวจสอบรายชื่อ สว.40 คน ที่ร่วมกันลงชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรีนั้น มีการปลอมแปลงลายเซ็น สว.4 คน ตามที่มีการออกมาปฏิเสธผ่านสื่อมวลชน ว่าไม่ได้ร่วมลงชื่อหรือไม่ หากกระบวนการได้มาซึ่งรายชื่อ ไม่ถูกต้อง ผลลัพธ์ก็จะผิดทั้งหมด
ต้องติดตามกันว่าการรับเรื่องถอดถอนนายกฯ ไว้พิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนการเมืองหรือไม่