xs
xsm
sm
md
lg

ก้าวไกล องครักษ์ “ระบอบทักษิณ” !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
เมืองไทย 360 องศา

หลายคนสงสัยมานานแล้วว่าพรรคก้าวไกลไม่เคยแตะต้อง หรือวิจารณ์ นายทักษิณ ชินวัตร อย่างจริงจัง หรือแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล อาจจะมีบ้างแต่เป็นลักษณะ “ฉาบฉวย” ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ผิดแผกไปจากบทบาทของฝ่ายค้านหลัก แต่สำหรับท่าทีในระดับพรรคแทบจะไม่เคยเห็นเลย ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงแค่ตัวบุคคลที่ออกมาให้ความเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์แบบ “เบาหวิว” เหมือนกับถนอมน้ำใจ หรือไม่ก็มีกรอบเอาไว้ “ห้ามล้ำเส้น” อะไรประมาณนี้

อย่างไรก็ดี หากย้อนอดีตไปไม่นานก็น่าจะจับทิศทาง และปะติดปะต่อเรื่องราวได้ดี เช่น กรณีที่เริ่มมีการจัดตั้งรัฐบาล และนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยเดินทางมาที่ฮ่องกง แล้วนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกมองว่าคือเจ้าของพรรคก้าวไกล ตัวจริง ยอมรับว่าได้พบกับ นายทักษิณ ที่นั่น แต่ปฏิเสธว่าไม่เคยคุยกันเรื่องการเมือง

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาการเชื่อมโยงก็จะเห็นว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็เป็น “ญาติสนิท” กับ นายธนาธร และที่ผ่านมาพรรคก้าวไกล ก็ไม่เคยเอ่ยถึงชื่อของนายสุริยะ แม้แต่ครั้งเดียว หรือหากโยงไปถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล ก็ไม่ต่างกัน เขาก็มีศักดิ์เป็นหลานของนายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขาฯส่วนตัวของ นายทักษิณ ตั้งแต่ในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในฉายา “คนผมขาว”

และช่วงรัฐประหารปี 49 นายพิธา ก็ยังเปิดเผยเองว่าเขาได้อาศัยโดยสารมากับเครื่องบินที่นำ นายทักษิณ และคณะไปต่างประเทศ กลับไทย และเกิดดรามาเรื่องมาไม่ทันงานศพบิดานั่นแหละ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ตัวบุคคลของสองพรรคนี้ มีความใกล้ชิดกัน แต่ลักษณะจะออกมาที่ว่า นายทักษิณ เป็น “นาย” มากกว่า

ในทางการเมือง หากพิจารณากันตามความเป็นจริงก็ต้องบอกว่า พรรคก้าวไกลต้องพึ่งพาพรรคเพื่อไทย มากกว่า พรรคเพื่อไทย พึ่งพาพรรคก้าวไกล อย่างน้อยก็ในสถานการณ์เฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นบทบาทในสภา ที่แม้ว่าในสมัยประชุมแรก พรรคก้าวไกลอาจแสดงบทบาทในฐานะพรรคฝ่ายค้านแบบเต็มตัว แต่ก็ยังไม่โดดเด่นเต็มร้อย อาจเป็นพรรคยังใหม่ ส.ส.ไร้ประสบการณ์ แต่ก็อย่างว่า เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระดับ “เจ้าของ” มันก็น่าจะถึงบางอ้อ

พิจารณากันในข้อจำกัดทางการเมือง หากพรรคก้าวไกลไม่สามารถมีเสียงข้างมากพรรคเดียวได้ การจัดตั้งรัฐบาลผสมจะทำได้ยาก เนื่องจากไม่มีพรรคการเมืองอื่นมาร่วม แต่อาจเหลือเพียงพรรคเพื่อไทย เพียงแต่ว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาถูกมองว่านายทักษิณ ต้องการกลับมา “กุมอำนาจรัฐ” และกลับบ้าน จึงมีข่าว “ดีลลับ”และสลัดพรรคก้าวไกล ออกไปก่อน

อย่างไรก็ดี เมื่อโฟกัสไปที่พรรคก้าวไกล ที่ระยะหลังได้เห็นท่าทีชัดเจนขึ้น ว่ามีความพยายาม “แตะมือ”กับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะต้องการเสียงสนับสนุนกฎหมายหลายฉบับ ทั้งที่คาอยู่ในสภา หรือที่กำลังจะเสนอเข้าไปใหม่ในช่วงเปิดสมัยประชุมสามัญ ที่จะมาถึงอีกไม่นานนี้

ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ 10 ปีรัฐประหาร 57 ในหัวข้อ ประยุทธ์ออกไป ระบอบประยุทธ์ยังอยู่ ชู 3 วาระ รื้อมรดกคสช. หวังรัฐบาลร่วมมือให้สำเร็จ ด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยส.ส.ร.เลือกตั้ง 100% ปฏิรูปกองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน รื้อสภากลาโหม ศาลทหาร-ทลายทุนผูกขาด ปรับกฎหมายแข่งขันการค้า

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในภาพรวมเราเล็งเห็นว่า ปัจจุบันผู้นำรัฐประหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำประเทศอีกต่อไป แต่ก็ยังมีมรดกหลายอย่างที่ถูกก่อร่างสร้างการรัฐประหารที่ยังหลงเหลืออยู่ ในโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ของประเทศไทย ซึ่งเราจำเป็นต้องรื้อ 3 อย่าง คือ

1. ในเชิงการเมืองมรดกสำคัญของรัฐประหารคือ รัฐธรรมนูญปี 60 ที่มีเนื้อหาในเชิงการเมืองที่หลายส่วนไปขยายอำนาจของสถาบันทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ให้เข้ามาแทรกแซง ขัดขวาง เจตนารมณ์ของผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นวุฒิสภาที่มีอำนาจสูง แต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงกลไกของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ ที่อาจจะมีกระบวนการคัดเลือกที่หลายฝ่ายมองว่าไม่สามารถรับประกันความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรดังกล่าวได้

“หากเราจะรื้อมรดกทางการเมืองของรัฐประหาร ก็จำเป็นที่จะต้องเดินหน้าทำการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็วที่สุด แต่ถ้าเราต้องการให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีเนื้อหาที่ยืนยันหลักการสำคัญว่า อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน คนที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ต้องเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกของประชาชน 100 เปอร์เซนต์”

2. เรื่องของกองทัพที่ผ่านมา ยังมีอำนาจหลายส่วนที่อยู่เหนือรัฐบาลพลเรือน ซึ่งเราได้ยื่นกฎหมายเข้าไปแล้ว และหวังว่า จะมีการพิจารณาเมื่อสภาเปิด คือ การแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบราชการกลาโหมเพื่อปรับเรื่องของอำนาจ และองค์ประกอบของสภากลาโหมเพื่อทำให้คนที่มีอำนาจหลักในการตัดสินใจนโยบายคือรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลพลเรือนที่มีความเชื่อมโยงประชาชนผ่านการเลือกตั้ง

3. เรื่องการขยายอำนาจขอกลุ่มทุนใหญ่ที่อาจมีอำนาจเหลือเศรษฐกิจ ทำให้การการแข่งขันในประเทศเป็นลักษณะผูกขาด ไม่ใช่การแข่งขันที่เสรีเป็นธรรม

แน่นอนว่า เป้าหมายที่พรรคก้าวไกลที่พวกเขานำมาปลุกเร้าหรือที่เรียกว่านำมา “หากิน” อย่างต่อเนื่องก็คือ สร้างจุดขาย คือ “เผด็จการ คสช.” หรือประดิษฐ์คำว่า “ระบอบประยุทธ์” โดยที่ไม่เคยพูดถึง “ระบอบทักษิณ” ที่เวลานี้กำลังคืนชีพกลับมาครอบคลุมไปทั่วทุกวงการ มีพฤติกรรมแบบ “อภิสิทธิ์ชน” แสดงบทบาทเหนือรัฐบาล มีการแทรกแซงการบริหารราชการ รวมไปถึงการแทรกแซงการแต่งตั้งรัฐมนตรี สารพัด แต่ที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นพรรคก้าวไกลแสดงท่าทีต่อเรื่องแบบนี้อย่างจริงจังเลยแม้แต่น้อย อย่างมากก็วิจารณ์พอเป็นพิธีแบบตามน้ำเท่านั้น

ล่าสุดกรณีโครงการรับจำนำข้าว ที่เต็มไปด้วยเรื่องทุจริต อื้อฉาว กลับกลายเป็นว่า พวกเขาออกมาปกป้อง รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยกล่าวหารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในทำนองว่า สร้างภาพทำลายโครงการดังกล่าวให้เสียหาย ทั้งที่ข้าวยังมีคุณภาพดี เป็นต้น

ดังจะเห็นได้จาก นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความว่า เสียดายเวลา เสียดายที่คนในยุคปัจจุบันที่ต้องแก่ตัวลงอย่างสูญเปล่า กับการทำรัฐประหาร ที่คนกลุ่มหนึ่ง ใช้อคติไปไล่เขาออกนอกประเทศ เมื่อปี 49 วันนี้กลับมา โดยที่บ้านเมืองยังคงสองมาตรฐานเหมือนเดิม

ข้าวที่เคยเอาไปใส่ร้ายว่าโกง ว่าเน่า ผ่านมา 10 ปี ปรากฏว่า ข้าวไม่เน่า แถมมีคุณภาพดี

นั่นคือ ท่าทีของพรรคก้าวไกล ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ยัง“หลอน” อยู่กับ เรื่องที่พวกเขาเรียกว่า “ระบอบประยุทธ์” แต่กลับไม่เคยแตะต้องหรือพูดถึง “ระบอบทักษิณ” เลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันแบบเข้าใจในทางการเมืองก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะในความเป็นจริงแล้ว พรรคก้าวไกลยังต้องการพึ่งพิงพรรคเพื่อไทย อย่างน้อยก็ในเรื่องเฉพาะหน้า โดยเฉพาะพวกเขาต้องการเสียงสนับสนุนในกฎหมาย “นิรโทษกรรม” ที่มีระดับแกนนำ และ ส.ส.ในพรรคหลายคนกำลัง “จ่อเข้าคุก” ทั้งความผิดตามมาตรา 112 และกฎหมายอีกหลายฉบับที่เกี่ยวกับการรื้อโครงสร้างกองทัพ เป็นต้น นี่ก็อาจเป็นสาเหตุที่ยังต้องมีท่าทีนอบน้อม ยอมอยู่ใต้ “ระบอบทักษิณ” ต่อไป !!


กำลังโหลดความคิดเห็น