xs
xsm
sm
md
lg

ปากท้องแพงทั้งแผ่นดิน ถล่ม “เศรษฐา-พท.” !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เศรษฐา ทวีสิน - พิชัย ชุณหวชิร
เมืองไทย 360 องศา

การแถลงของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ล่าสุด ที่ออกมาระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้ คือ ปี 67 โตแค่ร้อยละ1.5 หรือ โตต่ำสุดในย่านอาเซียน หรือกลุ่ม 5 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ เวียดนาม

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยแถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ของปี 2567 และแนวโน้มปี 2567 ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของไทย ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ขยายตัว 1.5% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการผลิตภาคนอกเกษตรขยายตัวจากบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคการเกษตร ลดลง 3.5% และหมวดอุตสาหกรรมลดลง 3% ด้านการใช้จ่ายรัฐบาล ลดลง 2.1% และการลงทุนรวมลดลง 4.2% โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ ลดลง 27.7%ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการ และการบริโภคอุปโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนชะลอลงเช่นกัน โดยเฉพาะปริมาณการส่งออกสินค้า ลดลง 2%

ขณะเดียวกัน แนวโน้มทั้งปี 2567 สศช. จึงได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย ใหม่ จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 2.2-3.2% ลดลงเหลือ 2-3% (ค่ากลางการประมาณการ 2.5%) โดยเป็นการปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ จากการขยายตัว 1.9% ในปี 2566 เนื่องจากการส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าคาด การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาด และการลงทุนภาครัฐยังหดตัว

พิจารณาจากตัวเลขการคาดการณ์ตัวเลขทางเศรษฐกิจดังกล่าวของทางสภาพัฒน์ ทำให้เห็นชัดเจนว่า ทุกอย่างหดตัวหรือติดลบทั้งสิ้น ซึ่งอีกด้านหนึ่งมันก็ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารของรัฐบาลที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทย ยังไม่พลิกฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมาได้ตามเป้าหมาย ตรงกันข้ามกลับแย่ลงกว่าเดิม ทั้งที่เข้ามาบริหารเกือบจะครบปีแล้ว ยังไม่เห็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน นอกเหนือจากเรื่องการท่องเที่ยวที่ต่อยอดมาจากรัฐบาลชุดก่อน

จากปัญหาที่สะท้อนออกมาเป็นตัวเลขที่ติดลบดังกล่าวทำให้ นายกรัฐมนตรีถึงกับ นั่งไม่ติด โดย นายเศรษฐา ทวีสิน ได้นัดประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเป็นครั้งแรกในวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม เวลา 16.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล เรียกว่าเป็นการเรียกประชุมอย่างเร่งด่วน

นายเศรษฐา กล่าวว่า จะเรียกรัฐมนตรีและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง มาพูดคุยกัน แต่ไม่ใช่เป็นการเรียกใครมาเพื่อต่อว่า แต่จะเป็นการมาพูดคุยหามาตรการ หรือไอเดียต่างๆ ที่จะต้องทำ ตั้งแต่เรื่องนโยบายและการผันเงินผ่านกรมบัญชีกลาง เรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ แก้ไขปัญหาเรียกว่าเป็นการมานั่งแก้ไขปัญหากัน เพราะผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ หรือจีดีพีโตแค่เพียง 1.5% ต่ำที่สุดในอาเซียน

เมื่อถามว่า อะไรคือสิ่งที่รัฐบาลตั้งใจในไตรมาสสี่ หลังจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตถึงมือประชาชน และคาดว่าจีดีพีจะโตขึ้นใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คงมีส่วน แต่จะคอยไกลขนาดนั้นไม่ได้ ต้องเริ่มทำงานก่อน อย่างที่บอกว่าจีดีพีโตแค่ 1.5% ถ้าไม่มีภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เราก็จะตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย อันนี้น่าเป็นห่วง และยังมีอีกหลายเรื่องทั้งบัตรเครดิต หนี้เสีย และหนี้ครัวเรือน

เมื่อถามว่า จะมีโครงการระยะสั้นออกมากระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตรงนี้เป็นที่มาของการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจดังกล่าว ซึ่งต้องมานั่งคุยกัน และตนได้บอกทุกคนไปว่าเวลามาให้มีข้อมูล และมาด้วยใจที่เปิดกว้าง พร้อมกับไอเดีย ไม่ได้ให้มาเพื่อที่จะสั่งว่าต้องทำอะไร การประชุมครั้งนี้คงยังไม่มีโครงการอะไรออกมาเซอร์ไพรส์แน่นอน ต่อไปจะมีการประชุมทุกสัปดาห์ อีกทั้งยังมีการประชุมวงเล็ก ซึ่งอยากฟังความคิดเห็นของทุกคน จะมีทั้งภาคการค้าระหว่างประเทศ ภาคการเกษตร ภาคกฎหมาย ภาคนโยบายซึ่งต้องฟังทุกคน และมีข้อสรุปออกมา

แน่นอนว่า การเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ แบบเร่งด่วนแบบนี้ ย่อมเป็นการรับรู้แล้วว่า สัญญาณอันตรายกำลังมาแล้ว หลังจากมีการแถลงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนแบบนี้ ขณะเดียวกันหากเดินสำรวจในตลาดต่างๆ รวมไปถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านในเวลานี้ที่กำลังเจอกับปัญหา “ข้าวของแพง” จนเรียกว่า “แพงทั้งแผ่นดิน” ซึ่งคำนี้เหมือนกับกำลังย้อนกลับมาเข้าหาตัวเอง หลังจากก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเคยใช้คำแบบนี้โจมตีฝ่ายตรงข้ามมาตลอด

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากผลงานการบริหารของรัฐบาลที่นำโดย พรรคเพื่อไทย และ นายเศรษฐา ทวีสิน นาทีนี้ถือว่ายังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน สิ่งที่เห็นคือการเดินทางไปต่างประเทศ มีแต่คำสัญญาเรื่องตัวเลขการลงทุนในโปรเจ็กต์ต่างๆมากมาย แต่การลงทุนจริงก็ยังไม่ออกมา แน่นอนว่าการลงทุนขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาในการศึกษาอย่างรอบด้าน แต่หากเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่ายังไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมก็น่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นเหมือนกัน

อีกด้านหนึ่งตราบใดที่รัฐบาลยังไม่อาจสร้างผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรม จนชาวบ้านรู้สึกว่ามีเงินในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้น มีรายได้ กินดีอยู่ดีมากกว่าเดิม เมื่อนั้นรัฐบาลก็จะมั่นคง แต่หากผลออกมาเป็นตรงกันข้าม ความรู้สึกยังเดือดร้อน ข้าวของแพง มันก็อยู่ลำบาก และโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่พยายามสร้างภาพให้เห็นมาตลอดว่าตัวเองเป็น “มือเศรษฐกิจ” เข้าใจเรื่องปากท้องชาวบ้าน มันก็ยิ่งมีความคาดหวังมากกว่าเดิม

แต่ขณะเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไปเกินหนึ่งปีขึ้นไปแล้ว หากทุกอย่างยังเหมือนเดิม หรือแย่ลงกว่าเดิม แรงกดดันก็จะยิ่งหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่า ทีนี้แหละหลายเรื่องราวก็จะถูกขุดคุ้ยเข้ามาทุกวัน และที่สำคัญคราวนี้น่าจะพุ่งเป้าไปที่ นายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวของเขา ที่ตอนนี้ก็เริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากจุดเด่น มีแนวโน้มกลายเป็น “จุดอ่อน” อย่างไม่น่าเชื่อ กลายเป็นกระแสหมั่นใส้ดูถูกเหยียดหยามไปแล้ว

การเรียกประชุมด่วนคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจแบบเต็มคณะที่เริ่มในวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม หลังจากมีการปรับคณะรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็น นายพิชัย ชุณหวชิร ซึ่งน่าจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจด้วย

แต่อย่างที่บอก ก็คือ จากคำพูดของ นายเศรษฐา ก่อนหน้านี้ ว่า การประชุมดังกล่าวยังไม่มีโครงการอะไรที่เป็นเซอร์ไพรซ์ ยังคงเป็นการสอบถามถึงความคืบหน้าจากการสั่งการไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็เป็นการเคลื่อนไหวให้เห็นว่ารัฐบาลเริ่มตื่นตัว นั่งไม่ติดกับปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่อง “ปากท้อง” ที่เป็นเรื่องใหญ่ ที่ชี้ชะตาทั้งตัว นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกันเลยทีเดียว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น