เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุด นายพิชิต ชื่นบาน ต้องยอมยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่า จะรับคำร้องว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่เพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งมองว่านี่คือ “แผนตัดตอน” ไม่ให้เกิดความเสี่ยงลามไปถึงนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ถูกร้องพ่วงจากกรณีที่เสนอแต่งตั้งตัวเขาเป็นรัฐมนตรี โดยเฉพาะความเสี่ยงจากคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี หรือเลวร้ายกว่านั้น หากในที่สุดมีคำวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ จนต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่
มีรายงานชัดเจนว่า เมื่อตอนบ่าย วันที่ 21 พฤษภาคม ว่า นายพิชิต ชื่นบาน ที่ส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ได้ให้เหตุผล ว่า ยืนยันชีวิตยึดมั่นในความบริสุทธิ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประกอบวิชาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อย เมื่อรับตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายกฎหมายทำหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์จนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยความชอบตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชนส่วนรวมเป็นที่สำคัญ ข้าพเจ้าเห็นว่าปัญหาของพี่น้องประชาชนยังต้องได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่องหลายเรื่อง โดยเฉพาะปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจ สังคม การเมืองตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
“แต่เมื่อมีการยื่นคำร้องเกี่ยวกับข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าได้ตรวจสอบและเชื่อมั่นโดยสุจริตแล้วว่าข้าพเจ้ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายทุกประการก็ตาม แต่เรื่องนี้ได้มีการพาดพิงไปถึงท่านนายกรัฐมนตรี หัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และไม่กระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีที่มีความจำเป็นต้องเดินหน้าด้วยความต่อเนื่อง ข้าพเจ้าจึงไม่ยึดติดกับตำแหน่ง ในลักษณะยึดถือประโยชน์ส่วนตนยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนรวม
ดังนั้น โดยหนังสือฉบับนี้ให้ถือเป็นเจตนาของข้าพเจ้าที่มีต่อนายกรัฐมนตรี "ข้าพเจ้า ขอลาออกจากการดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี" เพื่อให้นายกรัฐมนตรีเดินหน้าบริหารประเทศต่อไปได้ โดยให้มีผลนับแต่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป
การลาออกของ นายพิชิต ในตอนบ่าย แตกต่างจากท่าทีในตอนเช้า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ที่เขายังยืนยันในเรื่องคุณสมบัติว่าถูกต้อง โดยยืนยันว่าไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก ที่ผ่านมาเป็นเพียงคำสั่งศาล จากกรณีที่เรียกว่า “ถุงขนม”
อย่างไรก็ดี การลาออกของ นายพิชิต ชื่นบาน ครั้งนี้ ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ต้องพิจารณาคำร้องว่า ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะถือว่าได้ลาออก หรือพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีไปแล้ว ขณะเดียวกัน ไม่ต้องพิจารณาคำร้องพ่วงที่ระบุความผิดของ นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่เสนอชื่อนายพิชิต ที่ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีไปด้วย
ก่อนหน้านี้ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม หนึ่งใน 40 ส.ว.ที่เข้าชื่อ ระบบเหตุผลของการยื่นคำร้องว่า กรณีของนายพิชิต มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่า มีการละเมิดอำนาจศาล คำพิพากษาบรรยายถึงพฤติกรรมทุจริต ติดสินบนต่อกระบวนการยุติธรรม มีคำสั่ง 2 ชุด และถูกนำเรื่องเข้าสู่สภาทนายความให้ลบชื่อจากการเป็นทนายความ จึงชัดแจ้งว่า ไม่มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ พฤติการณ์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ส่วนนายกรัฐมนตรีนั้น มีการทักท้วงถึงการจะตั้งนายพิชิต รัฐมนตรีแต่ก็ยังเสนอชื่อและโปรดเกล้าฯ ให้นายพิชิต ดำรงตำแหน่งในตำแหน่งรัฐมนตรี จึงถือเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ
หากย้อนกลับมาโฟกัสกันที่สาเหตุของการลาออกของนายพิชิต ชื่นบาน ในครั้งนี้ ย่อมมองออกได้ทันทีว่า มีเจตนาเพื่อ “ตัดตอน” ไม่ให้กระทบถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน เพราะหากวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องก็อาจตามมาด้วยการสั่ง “พักการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ” ทันที ซึ่งนั่นย่อมส่งผลกระทบตามมาใหญ่หลวง และหากในที่สุดแล้ววินิจฉัยแล้วว่าขาดคุณสมบัติตามคำร้อง นั่นก็หมายความว่า “ต้องพ้นจากนายกฯ” ซึ่งก็ต้องพ้นไปทั้งรัฐบาล และพ้นไปทั้งคณะรัฐมนตรี
ทีนี้ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้นทันที นั่นคือ ต้องมีการฟอร์มรัฐบาลกันใหม่ โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทุกอย่างจะไม่มีความแน่นอน และที่สำคัญจะกระทบกับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะกระทบกับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็น “เจ้าของ” เข้าอย่างจัง แม้ว่าหากมีการตั้งรัฐบาลใหม่ พรรคเพื่อไทยยังสามารถเป็นแกนนำอีกครั้ง แต่ปัญหาก็คือ คนที่จะมาเป็น นายกฯแทน นายเศรษฐา จะเป็นใคร เพราะเชื่อว่า “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังไม่มีความพร้อมในทุกด้าน หากดันขึ้นมาในตอนนี้ ย่อมไม่ต่างจากการถูก “ลากมาเชือดกลางตลาด” แน่นอน
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจาก “แบ็กกราวด์” ของนายพิชิต ชื่นบาน การได้เป็นรัฐมนตรี ก็เหมือนเป็นการตอบแทนการทำงานที่ซื่อสัตย์ต่อ“นาย” ได้เต็มที่แล้ว แต่เพื่อป้องกันปัญหา ป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายมากมาย ก็ต้องรีบ “ตัดไฟ” เสียก่อน เหมือนกับที่เรียกว่า “ยอมเสียเบี้ย เพื่อรักษาขุน” เอาไว้ อะไรประมาณนั้น และครั้งนี้ก็คงเป็นการชั่งน้ำหนักของ “นายใหญ่” ว่าต้องชิงลงมือ ก่อนที่จะสายเกินไป
ดังนั้น หากให้สรุปแบบรวบรัดจากการลาออกจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของ นายพิชิต ชื่นบาน ครั้งนี้ ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เป็นเพียงการ “ตัดตอน” ก่อนลามไปถึง นายเศรษฐา ทวีสิน ที่เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะหาก วันที่ 23 พฤษภาคม ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ลองหลับตานึกภาพเอาก็แล้วกันว่าจะเกิดหายนะขนาดไหน หรือหากเลวร้ายกว่านั้นเมื่อศาลตัดสินว่าขาดคุณสมบัติ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ต้องโหวตนายกฯใหม่ ฟอร์มรัฐบาลใหม่ และที่สำคัญ คนที่เสียหายคือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องเสียการควบคุม ทุกอย่างจะหลุดมือไปในพริบตา และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมต้อง “ทิ้งเบี้ย เพื่อรักษาขุน หรือม้า” ตัวนี้เอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ชั่วเวลาหนึ่งก่อนที่ “ตัวจริง” จะพร้อมกว่านี้ !!