ข่าวปนคน คนปนข่าว
“บิ๊กแป๊ะ”เปิดหน้าชน แฉขบวนการป.ป.ช. รวมหัว อดีต รอง ผบ.ตร. กลั่นแกล้ง คดีจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ
หลังจากเกษียณอายุราชการ ในตำแหน่ง ผบ.ตร. “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ก็ไม่ได้ลงสนามการเมือง พยายามทำตัวโลว์โปรไฟล์ แต่ก็ไม่วายโดนเล่นเข้าจนได้ จากกรณีจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ 260 คัน วงเงิน 900 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2561-2562
ดังนั้น “บิ๊กแป๊ะ” จึงได้เดินทางไปที่สำนักงานป.ป.ช. เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม พร้อมขอทราบความคืบหน้า หลังจากได้ยื่นพยานเอกสารเพิ่มเติม ให้มีการสอบเพิ่มว่ามีการนำไปประกอบสำนวนคดีดังกล่าวหรือไม่ และครั้งนี้ มีพยานสำคัญ 5 ปาก มีทั้งพยานบุคคล และพยานวัตถุที่สำคัญ
“บิ๊กแป๊ะ”บอกว่าที่มาของคดี สืบเนื่องมาจากคณะของ “พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ” ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบช.สพฐ.ตร.) ณ ขณะนั้น เป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (PCT4) ได้ทำการตรวจค้นบ้านตำรวจนอกราชการนายหนึ่ง และพบเอกสารในคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ในบ้านนั้น ระบุเกี่ยวกับคำร้องในคดีของตน ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.
แน่นอน “บิ๊กแป๊ะ” ย่อมรู้ว่า เบื้องหลังของขบวนการนี้ มีผู้ร่วม 3 คน เป็นตำรวจนอกราชการ 1 คน , ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 1คน และมีพันตำรวจโท 1 คน ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน และมีทนายความที่มีชื่อเสียง ร่วมกันทำหนังสือ ปั้นเรื่องร้องเรียน กลั่นแกล้งให้ตนเองได้รับโทษ
เพราะความเชื่อมั่นในองค์กรปราบโกง อย่างป.ป.ช. ว่าจะมีความเป็นกลาง ไต่สวนด้วยความเป็นธรรม ไม่อคติ ทำให้ “บิ๊กแป๊ะ” ปล่อยให้เรื่องดำเนินการไปตามปกติ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า ตนเองถูกเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา
“บิ๊กแป๊ะ” ยืนยันว่า โครงการรถไฟฟ้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น เป็นการมอบสิ่งดีดี เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับหน่วยงาน โดยเฉพาะ “สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง” อีกทั้งยังเป็นการสนองนโยบายรัฐบาล ที่รณรงค์การใช้พลังงานไฟฟ้า ทดแทนการพึ่งพาน้ำมัน
จึงเป็นที่มาของโครงการจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ
ในชั้นอนุกรรมการป.ป.ช. ที่ทำการตรวจสอบเรื่องนี้ ก่อนจะสรุปให้เรียก “บิ๊กแป๊ะ” มารับทราบข้อกล่าวหา ประกอบด้วย ตัวย่อ “3 ส. 1 พ.” โดย "ส. คนแรก" เกษียณราชการไปแล้ว "อีก 1 ส." เป็นประธานอนุกรรมการฯ เคยลงสมัคร ป.ป.ช. และ "ส. ที่ 3" คือ นายตำรวจระดับสูง ส่วน " พ. 1ราย” คือเจ้าหน้าที่ระดับสูงถึงกลาง
“บิ๊กแป๊ะ” เรียกร้องให้เปลี่ยนตัวคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้ เพราะถือว่าทำงานไม่รอบคอบ มีเจตนากลั่นแกล้งตนเอง เพราะขนาด “ทนายความชื่อดัง” หลังจากทราบว่าตนถูกตั้งข้อกล่าวหา ยังถือพวงมาลัยมาขอโทษ บอกว่า... “ผมไม่น่าทำพี่เลย”
มีช่วงหนึ่งที่ “บิ๊กแป๊ะ” เปิดภาพที่นำมา พร้อมข้อความระบุว่า... “วันนี้พี่โจ๊กชวนมาทานข้าวที่บ้านวิภาวดีรังสิต คุยเพลินลืมเวลาจะทันเคอร์ฟิวไหม” พร้อมเปิดภาพการท่องเที่ยวต่างๆ ของบุคคลที่เชื่อว่าอยู่ในขบวนการ และระบุว่า ถ้าแผนประทุษกรรมเป็นลักษณะนี้ ในขณะที่ตนเป็นตำรวจ จะออกหมายจับทุกคน !!
สำหรับ“ตำรวจนอกราชการ” ที่ “บิ๊กแป๊ะ” รับรู้ว่าอยู่เบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดนี้ ตนเองเลี้ยงมาเหมือนน้อง สนับสนุนให้เจริญเติบโต ก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ แต่ผลที่ได้รับตอบแทน คือ จะเอาตนถึงตาย เขาประกาศในวงของเขาว่า “...ไม่มีคำว่าพี่น้องแล้ว กูจะเอาไอ้แป๊ะติดคุกให้ได้...”
อย่างไรก็ตาม เมื่อรับทราบข้อกล่าวหาไปแล้ว “บิ๊กแป๊ะ” บอกว่า จะมาชี้แจงที่ ป.ป.ช. ด้วยตนเองทุกครั้ง จะไม่ชี้แจงด้วยลายลักษณ์อักษร เพราะเชื่อว่า 99% คณะกรรมการไม่ได้อ่าน และขอให้อนุกรรมการ 5 ท่าน เอาเรื่องของตน กลับมาทบทวนให้ความเป็นธรรม แล้วตั้งใครก็ได้ให้เป็นประธานไต่สวนใหม่ แต่ไม่เอา "ส. ที่ 2" ที่มีความสัมพันธ์กับอดีตนายตำรวจ และมีการตกแต่งบัญชี ส่วน "พ." ตนก็ไม่เอา ขอคนใหม่เลย
“บิ๊กแป๊ะ”ทิ้งท้ายว่า หลังจากนี้ ตนเองกับ รอง ผบ.ตร. คนดังกล่าว ไม่มีการญาติดีกันแน่นอน !!
งุบงิบเช่าที่ทรัพย์สิน คุกน้องชาย “ธนาธร” ติดสินบนของแทร่ เป็นคำตอบสุดท้าย
“สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานบริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด ซึ่งเป็นน้องชายของ ส้มตัวพ่อ-พ่อส้ม “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ถูกพิพากษาจำคุก 6 เดือน ในคดี “สินบน 20 ล้าน” ติดสินบนเจ้าพนักงาน และนายหน้าเป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อเช่าที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 แปลง ในซอยร่วมฤดี และย่านชิดลม
ที่ผ่านมา ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี จำเลย “สกุลธร” พยายามต่อสู้คดี แต่สุดท้ายเมื่อ วานนี้ (20 พ.ค.) ศาลอาญาคดีทุจริต และ ประพฤติมิชอบกลาง ได้พิพากษาว่า จำเลยกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ประกอบมาตรา 84 เพียงบทเดียว จำคุก 8 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์เเก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ให้ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 6 เดือน
ต่อมา เจ้าตัวยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วได้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์
นี่ก็เป็นบทพิสูจน์ว่า คนของตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” หนี “ความจริงที่มีหนึ่งเดียว” ไปไม่ได้
ตอนมีเรื่องฟ้องคดีแรกๆ ถ้ายังจำได้ ทั้ง “ธนาธร” และ “สกุลธร” น้องชาย พยายามแก้ตัวแก้ต่างว่า ไม่ใช่ “สินบน” แต่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของ “ค่านายหน้า” ตามปกติของการทำธุรกิจ
“สกุลธร” ถึงกับร่อนเอกสารแถลงข่าว สรุปว่ากรณีนี้ตัวเองเป็นผู้เสียหาย และเป็นผู้บริสุทธิ์ พร้อมกับยืนยัน ไม่รู้ ไม่เห็น กับเจ้าพนักงานของสำนักงานทรัพย์สินฯ และนายหน้า
ท่ามกลางกระแสสังคมที่มองว่า สกุลธร “มั่วนิ่ม”
เพราะการได้มา เพื่อให้ได้สิทธิ์การเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการประมูลตามขั้นตอนปกติ ก็ส่อเจตนา “มิชอบ” ต้องมีรายการ “จ่ายใต้โต๊ะ” กันแหงๆ ตั้งแต่ไก่โห่
ประการสำคัญ ก่อนที่ “สกุลธร” จะถูกฟ้องดำเนินคดี ปรากฏว่ามีคดีที่กองปราบ พบว่า มีเจ้าพนักงานสำนักงานทรัพย์สิน ร่วมมือกับนายหน้า จัดการเพื่อเตรียมที่ดินให้บริษัทเอกชนมาเช่า โดยไม่ชอบมาพากล จึงแจ้งให้สำนักงานทรัพย์สินแจ้งความดำเนินคดี จนกระทั่งเมื่อปี 2562 ศาลพิพากษาจำคุกคนทั้งสอง 6 ปี แต่จำเลยรับสารภาพ และให้การเป็นประโยชน์ลดโทษเหลือ 3 ปี
จากคำพิพากษาคดีดังกล่าว ทำให้ชื่อของ “สกุลธร” ที่เดิมถูกละไว้ไม่มีชื่อถูกฟ้องในตอนแรก มาแดงขึ้น ในฐานะ “ผู้จ้างวาน” เพราะถูกพาดพิงไว้ในคำพิพากษาของศาล
เมื่อมีชื่อ “สกุลธร” ความสนใจของสังคมจึงโฟกัสมาที่ตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” โดยต้องไม่ลืมว่า บริษัท เรียลแอสเสทฯของ สกุลธร มีพี่ชาย “ธนาธร” และ แม่ “นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” ถือหุ้นอยู่ด้วย!!
ย้อนกลับมาที่คำแก้ต่างชอง “สกุลธร” ที่โบ้ยว่า เงิน 20 ล้านบาทเป็น “ค่านายหน้า” ไม่ใช่ “เงินใต้โต๊ะ” จึงได้รับการยืนยันจากคำพิพากษาคดีเจ้าพนักงานของสำนักงานทรัพย์สิน และนายหน้า ว่า คดีนี้เป็นการเรียกรับสินบน และปลอมแปลงเอกสารราชการ
งานเข้า “สกุลธร” หนักขึ้นไปอีก เมื่อคนในวงการอสังหาฯ ได้ตั้งคำถามตามมาว่า ตามปกติของการทำธุรกิจแล้ว การจ่าย “ค่านายหน้า”จะจ่ายก็ต่อเมื่อได้ทำงานสำเร็จแล้ว บรรลุเป้าหมายแล้ว จึงจะจ่าย... ไม่เคยมีธรรมเนียมของการจ่ายค่านายหน้าล่วงหน้า อย่างที่ “น้องธนาธร” เอ่ยอ้าง
อีกทั้งหน่วยงานของรัฐ อย่างสำนักงานทรัพย์สินฯ ที่ผ่านมาใช้วิธีการเปิดประมูลมาตลอด ไม่เคยต้องมีนายหน้า
เงื่อนงำและข้อสงสัยต่างๆ ชี้เข้าหา “สกุลธร” ว่ามีส่วนต้องรับรู้คดีแรก ดังนั้นกองปราบฯในภายหลัง จึงแจ้งข้อกล่าวหากับ “สกุลธร” แล้วกงล้อของชบวนการยุติธรรม ก็ดำเนินมากระทั่งมาสู่คำพิพากษาจำคุกดังกล่าว
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้