เมืองไทย 360 องศา
ทำไปทำมากรณี 40 สว.ร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งหน้าที่เนื่องจากขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนั้นถือว่าน่าหวาดเสียวทีเดียว เพราะเพียงแค่หากศาลสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ก็จะทำให้เกิดผลกระทบตามมามหาศาล
มีรายงานว่าในคำร้องที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสมาชิก(สว.) 40 คน ขอให้ศาลรัฐรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า ความสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีของ นายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
หลังมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบ มาตรา 160(4) และ (5) ประเด็นว่า ด้วยขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยมีการยื่นต่อสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น คาดว่าคำร้องดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคมนี้ โดยจะพิจารณาว่า จะรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ และหากรับจะต้องมีคำสั่งให้นายเศรษฐา และนายพิชิต หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยหรือไม่
ก่อนหน้านี้ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม หนึ่งใน 40 สว. ที่เข้าชื่อ ระบบเหตุผลของการยื่นคำร้องว่า กรณีของนายพิชิต มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่า มีการละเมิดอำนาจศาล คำพิพากษาบรรยายถึงพฤติกรรมทุจริต ติดสินบนต่อกระบวนการยุติธรรม มีคำสั่ง 2 ชุด และถูกนำเรื่องเข้าสู่สภาทนายความ ให้ลบชื่อจากการเป็นทนายความ จึงชัดแจ้งว่า ไม่มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ พฤติการณ์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ส่วนนายกรัฐมนตรีนั้น มีการทักท้วงถึงการจะตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรี แต่ก็ยังเสนอชื่อ และโปรดเกล้าฯ ให้นายพิชิต ดำรงตำแหน่งในตำแหน่งรัฐมนตรี จึงถือเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ
ก่อนหน้านี้ มีนักกฎหมายบางคนชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่า ในวันที่ 23 พฤษภาคม นี้ ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งให้ผู้ถูกร้องคือ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “หยุดปฏิบัติหน้าที่” ซึ่งหากโฟกัสเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ นายเศรษฐา ทวีสิน ถือว่าเกิดผลกระทบตามมามากมาย หรือหากเลวร้ายไปกว่านั้น หากสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง หากมีความผิดจริงก็จะยิ่งไปกันใหญ่ เพราะต้องพ้นไปทั้งคณะรัฐมนตรีกันเลยทีเดียว ก็ลองหลับตานึกภาพกันก็ได้ว่าจะปั่นป่วนวุ่นวายขนาดไหน
นายเจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และประธานหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิต วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย กล่าวว่า กรณีของนายพิชิต ไม่ต้องพูดมาก คนทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วเรื่องถุงขนม และคนทั้งหลายก็พอวินิจฉัยออก ไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าลักษณะมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ หากไม่มี ก็เท่ากับนายพิชิตขาดคุณสมบัติ (รัฐธรรมนูญมาตรา160 (4) )
ส่วนเรื่องนี้ นายเศรษฐา เกี่ยวข้องด้วยเพราะ หนึ่ง ตัวนายกฯ ต้องรู้อยู่แล้วว่าเรื่องที่นายพิชิตเคยทำ มันเป็นมาอย่างไร แต่คุณเศรษฐา กลับไปรับรองเรื่องนี้ บอกว่านายพิชิต ไม่มีอะไร อันนี้คือประเด็นแรก
ประเด็นข้อที่สอง ก็คือ ต่อมามีการทำหนังสือสอบถามไปที่คณะกรรมการกฤษฎีกา มีนัยว่าจะล้างสิ่งที่นายพิชิต เป็น มันไม่ได้มีอยู่จริง ซึ่งมีการส่งเรื่องไปแล้ว ก็แปลว่าหาทางที่จะทำให้ คุณสมบัติของนายพิชิตเป็นได้ ทั้งที่ข้อหนึ่งรู้แล้ว ทำไม่ได้ แต่ข้อสอง ก็คือหาทางทำให้ได้ และยังมีชั้นที่สามอีก คือ พอคณะกรรมการกฤษฎีกาทำหนังสือตอบกลับไป ก็เอาความเห็นดังกล่าวมาบอกว่า นายพิชิต ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว จนต่อมากฤษฎีกา ออกมาอธิบายว่า ประเด็นที่ถาม คือ ถามเรื่องกรณีเคยถูกจำคุก เป็นคำสั่ง หรือคำพิพากษา ซึ่งกฤษฎีกาก็บอกว่า จำคุก ก็คือจำคุก ไม่ว่าจะโดยคำสั่ง หรือคำพิพากษาก็ตาม แต่อีกข้อหนึ่งพูดเรื่องจำคุก โดยคำพิพากษา ก็ต้องอิงคำพิพากษา เป็นแค่คำสั่ง ไม่ได้ แต่กฤษฎีกาก็บอกว่า แต่คุณสมบัติข้ออื่น เขาไม่เกี่ยว
“มันก็ชัดในตัวมันเองแล้วว่า ชั้นที่หนึ่ง คุณรู้อยู่แล้ว และต่อมามีการส่งหนังสือไปถามกรรมการกฤษฎีกา เพื่อฟอก ชั้นที่สาม เอาหนังสือกฤษฎีกาที่เขาพูดเรื่องอื่น มาอธิบายอีก สว.เขาก็มาคิดว่า แบบนี้ คุณมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ แล้วเขาอาจคิดเพิ่มว่า หากยื่นเฉพาะคุณพิชิต ก็ไปเฉพาะคุณพิชิต แต่ถ้าร้องนายเศรษฐา ด้วย เรือไปทั้งลำ ครม.ไปทั้งหมด เขาก็ต้องเอา เมื่อเทียบกับอีกหลายกรณี เช่น เคสคำร้อง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ เกินแปดปี ที่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น หากศาลรับคำร้องไว้วินิจฉัย ถ้าพิจารณาแล้วมีมูล หรือมีข้อที่เขาเห็นว่าคำร้องที่ยื่นมา มันอาจเป็นไปตามนั้น ก็อาจสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งถ้าแบบนั้น ศาลก็อาจพิจารณาคำร้องเร็ว เพราะหากปล่อยให้เนิ่นช้า ไปก็คงไม่เป็นผลดี” อดีตที่ปรึกษา กรธ. ระบุ
นายเจษฎ์ กล่าวว่าเรื่องนี้มีโอกาสเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนทางการเมืองสูงมาก เพราะหากพิจารณาโดยลำดับอย่างที่บอก ซึ่งเรื่องถุงขนม ไปถามใคร เขาก็คงไม่บอกว่า สิ่งที่ทำไป มันเป็นการซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งคนที่รู้อยู่แล้ว แต่พยายามหาทางทำให้มันไม่เป็นอุปสรรค แล้วเอาสิ่งที่คนอธิบายที่เป็นประเด็นอื่น มาอธิบายว่า บอกแล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง อันนี้ก็คือ มีการทำสามชั้น คือ นายพิชิต หนึ่งชั้น เพราะว่าทำเอง แล้วคนที่รู้เห็นเป็นใจกับนายพิชิต พยายามทำหนังสือไปถาม(คณะกรรมการกฤษฎีกา) แล้วก็เอาสิ่งที่ตอบมา มาคอยอธิบาย ก็เท่ากับมีการทำสามชั้น
พิจารณาตามรูปการณ์แล้วก็น่าเป็นห่วง เหมือนกัน เพราะไม่ว่าออกทางใดทางหนึ่ง แค่หากศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้ “หยุดปฏิบัติหน้าที่” โดยเฉพาะกับ นายกรัฐมนตรี ทุกอย่างก็จะป่วนทันที อย่างน้อยความไม่แน่นอนก็จะเกิดขึ้น เหมือนกับกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถูกร้องให้พิจารณาวาระการดำรงตำแหน่ง จนทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองมาพักใหญ่ แต่หากเลวร้ายไปกว่านั้น คือให้ “พ้นจากตำแหน่ง” แบบนี้ก็ไม่อยากจะคิดว่าผลจะร้ายแรงขนาดไหน
อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้ว ปฐมเหตุที่เกิดขึ้น ก็น่าจะมาจาก “นายใหญ่” หรือ นายทักษิณ ชินวัตร “จัดมา” สำหรับการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เข้ามาเป็นรัฐมนตรี เพราะถือเป็นคนใกล้ชิด เคยรับใช้ทางด้านกฎหมายอย่างซื่อสัตย์มาเป็นเวลานานถึงขั้นยอมเสี่ยงเรื่อง “ถุงขนม” จนถูกถอดใบวิชาชีพทนายความ ดังนั้น เมื่อมีโอกาสก็ต้องให้รางวัลอะไรประมาณนั้นหรือเปล่า และสังคมก็มักมองภาพแบบนั้น ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อครั้งมีการจัดตั้งรัฐบาลครั้งแรกยุค “เศรษฐา 1” นายพิชิต คนนี้ก็มีชื่อเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว เพียงแต่ว่ามีเสียง “ยี้” และถูกท้วงติงเรื่องคุณสมบัติ จนต้องชะลอไปก่อน แต่ก็ยังเว้นตำแหน่งไว้ให้
ดังนั้น คราวนี้หากโดน “แจ็กพอต” จากศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าดอกแรก คือ สั่งให้ทั้งนายกรัฐมนตรี คือ นายเศรษฐา ทวีสิน และ นายพิชิต หยุดปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ จากนั้นก็เข้าสู่การพิจารณาวินิจฉัยเจอดาบสอง ที่หนักหน่วงกว่า ก็ต้องบอกว่า งานนี้ “นายใหญ่” จัดให้ แบบว่า “มาเพราะนายใหญ่” ถึงเวลาไป ก็เพราะนายใหญ่ นั่นเอง
แต่เอาเป็นว่า ในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ ให้ผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นบวกไว้ก่อน อย่างน้อยคือ รับเรื่องไว้พิจารณาแต่ไม่สั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่ก็แล้วกัน เพราะหากออกมาอีกอย่างถือว่าผลร้ายตามมามากมาย จนอาจถึงจุดเปลี่ยนทางการเมืองอีกครั้ง ไม่อยากจะคิดเลย!!