เมืองไทย 360 องศา
บางครั้งบางอย่างมันก็ไม่อาจเป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ อาจเป็นเพราะมีปัจจัยอื่นแทรกซ้อนที่ควบคุมยาก หรืออาจเป็นเพราะตัวเองยังไม่มีความสามารถมากพอ ยังไม่บ่มเพาะประสบการณ์และทักษะยังไม่เพียงพอทำให้หลายอย่างเกิดความผิดพลาดผิดไปจากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ใช่แล้ว กำลังพูดถึง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อันดับหนึ่งของพรรค ที่เวลานี้กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก จนต้องหลบหน้าหายไปสักพักหนึ่งแล้ว
ขณะเดียวกัน รับรู้กันแล้วว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นทายาทสายตรงของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกมองว่าเป็น “เจ้าของ” พรรคเพื่อไทย มีเจตนาผลักดันให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ซึ่งในตอนแรกคาดว่าจะให้เป็นนายกฯทันที หลังการรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลผสมครั้งก่อน เพียงแต่ด้วยสถานการณ์บางอย่างที่ยังไม่เหมาะสม ทำให้ต้องรอไปก่อน แล้วให้ นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นแคนดิเดตนายกฯอันดับสอง ขึ้นมาแทนก่อน
แน่นอนว่าแทบทุกคนย่อมมองออกว่า นายเศรษฐา ไม่ใช่ตัวจริง เป็นการเข้ามาแบบ “ขัดตาทัพ” ในช่วงสถานการณ์หนึ่งเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีการคาดกันว่า น่าจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี ก็ต้องก้าวลงไป และเมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วเขาอยู่ในลักษณะ “ขาลอย” ไม่มีพลังในพรรค ทุกฝ่ายล้วนอยู่ภายใต้การชี้นำของ “ครอบครัวชินวัตร” ที่นำโดย นายทักษิณ เท่านั้น เพราะแม้แต่ตัวรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษารอบตัวจนมาถึงตำรวจติดตาม ล้วนเป็นคนที่สายตรง และใกล้ชิดกับ นายทักษิณ ทั้งสิ้น จนครั้งหนึ่ง นายเศรษฐา ถึงกับหลุดปากออกมาเองในเรื่อง “นายกฯสองคน” ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ดีที่สุด
แต่อย่างที่บอกเอาไว้ว่า บางครั้งมันไม่ได้เป็นไปตามคาดหมายเอาไว้เสมอไป เหมือนกับกรณีของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่มีลักษณะของ “ลูกเถ้าแก่” ที่สามารถเข้ามาบริหารจัดการธุรกิจของบริษัทได้แบบไม่มีปัญหา แต่สำหรับในทางการเมืองแล้วมันอาจคนละเรื่อง เพราะมีปัจจัยหลายอย่างมาทดสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องผ่านการทำสอบความรู้ความสามารถ และทักษะจากสังคมที่เฝ้าจับตามองอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การตรวจสอบที่มีทุกช่องทางยิ่งเข้มข้น
กรณีของ น.ส.แพทองธาร ก็เช่นเดียวกัน ในช่วงเริ่มแรก อาจเป็นที่ฮือฮาจากความที่เป็นลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นทายาทที่ถูกปลุกปั้นให้เป็นผู้นำ ซึ่งในช่วงแรกก็ยังเป็นไปด้วยดี แต่หลังการเลือกตั้งเป็นต้นมา ที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล จนมาถึงการ “ข้ามขั้ว” มาจัดตั้งรัฐบาลกับ “สอง ป.” ทำให้เริ่มถูกวิจารณ์ในทางลบเรื่อง “ตระบัดสัตย์” พร้อมกับคลิปวลี “ปิดสวิตช์ ส.ว. ปิดสวิตช์ สามป.” พรั่งพรูออกมาตามโลกโซเชียลฯ มีการล้อเลียนกันอย่างสนุกสนาน แต่ความหมายก็คือ ให้เธอ “เสียเครดิต”
นับตั้งแต่นั้นมา เสียงวิจารณ์ในทางลบ ทั้งในเรื่องขาดทักษะ ยังไม่มีประสบการณ์ ขาดความรู้ความสามารถ ไม่เคยพิสูจน์ความสำเร็จให้เห็นเลย นอกจากเป็นลูกของ นายทักษิณ เท่านั้น การถูกวิจารณ์ในเรื่องการเป็นประธานในโครงการ “ซอฟต์เพาเวอร์” ที่ได้รับงบประมาณไปกว่าห้าพันล้านบาท แต่ถูกจับตาในเรื่องผลงานที่ไม่คุ้มค่า หรือแม้แต่กรณี การเป็นแม่งานจัดเทศกาลสงกรานต์ครั้งที่ผ่านมา ถูกระบุว่า เชิญชวนคนทั้งโลกมาเที่ยวในไทย แต่ตัวเองกลับพาครอบครัวไปเที่ยวฮ่องกง เป็นต้น
แต่ที่หนักหนาสาหัส และส่งผลกระทบทางการเมืองมากที่สุด น่าจะเป็นกรณีที่ออกมาวิจารณ์ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เธอระบุว่า เป็น “อุปสรรคในการพัฒนาประเทศ” กรณีความขัดแย้งในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้เกิดการเปรียบเทียบในเรื่องวุฒิภาวะ ประสบการณ์ความน่าเชื่อถือ ว่าจะเชื่อใครมากกว่ากัน
“พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมากที่สุด หากไม่เป็นแกนนำรัฐบาลผสม คงยากที่ปัญหาหมักหมมจะแก้ไขได้ กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี จากการตั้งงบประมาณขาดดุล ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมเข้าใจ และร่วมมือ ประเทศจะไม่มีทางลดเพดานนี้ได้ 10 เดือนที่ผ่านมา เราใช้ความพยายามในการวิเคราะห์ เข้าใจ เพื่อแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อน และก้าวเดินต่อในทุกมิติ เพราะเราเสียเวลาและโอกาสไปถึงเกือบ 2 ทศวรรษ จากการรัฐประหาร เรามั่นใจว่าเราทำได้ และจะทำให้ได้คะแนนเต็ม 10 ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า” นั่นคือคำพูดของ น.ส.แพทองธาร ที่ตำหนิแบงก์ชาติ จนถูกวิจารณ์อย่างหนัก
จากกรณีดังกล่าว ทำให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต้องเก็บตัวเงียบ ไม่เห็นปรากฏตัว งดให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนมาสักพักหนึ่งแล้ว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมาทั้งหมด ล้วนส่งผลกระทบต่อเครดิตของเธอ และส่งผลมาถึง นายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นคนผลักดันขึ้น อีกทั้งเมื่อมาพิจารณากรณีของ นายทักษิณ ก็อยู่ในภาวะที่ถดถอยไม่ต่างกัน กลายเป็นว่าเวลานี้ ทั้งพ่อทั้งลูก ล้วนออกมาในทางลบทั้งสิ้น ซึ่งพิสูจน์จากผลโพลที่สะท้อนออกมาสอดคล้องกัน ว่าความนิยมทางการเมืองของพวกเขากำลังถดถอยลงเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ว่าหากมีการเลือกตั้งวันนี้ พรุ่งนี้ พรรคเพื่อไทยจะแพ้การเลือกตั้งอีก
ขณะเดียวกันเมื่อเห็นถึงความถดถอยของ น.ส.แพทองธาร และ นายทักษิณ ชินวัตร ทำให้มองเห็นอีกด้านหนึ่ง คือ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ก่อนหน้านี้ถูกมองว่า “ไม่ใช่ตัวจริง” เป็นแค่ขัดตาทัพชั่วคราวเท่านั้น เพื่อรอจังหวะให้ “ลูกเถ้าแก่” คือ น.ส.แพทองธาร ขึ้นมาแทน แต่มาวันนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปแล้ว เพราะยิ่งเวลาผ่านไป กระแสความนิยม เสียงวิจารณ์ในด้านความรู้ความสามารถ ที่ถูกตั้งคำถามมากขึ้น ทำให้ทุกอย่างเริ่มออกมาในด้านลบเรื่อยๆ ผลสำรวจที่ออกมาก็สะท้อนออกมาชัด และเมื่อเทียบกันระหว่าง นายเศรษฐา กับ “อุ๊งอิ๊ง” นายเศรษฐา ยังทิ้งขาด
เมื่อผลออกมาแบบนี้ ก็กลับกลายเป็นว่า “สถานะ” ของนายเศรษฐา ทวีสิน มีความมั่นคงยิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า เพราะเพราะเมื่อเทียบความรู้ความสามารถและประสบการณ์แล้ว หลายคนยังมั่นใจว่าเขายังเหนือกว่าหลายขุม
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเหมือนกับว่า การคำนวณของคนนั้นผิดพลาดได้เสมอ เหมือนกับกรณีของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่กำลังถูกปรามาส ลดความน่าเชื่อถือ จนมีความเสี่ยงว่าไม่อาจนำพาพรรคเพื่อไทยกลับมาสู่ความนิยมแบบยืนหนึ่งได้อีกแล้ว ขณะเดียวกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกับการเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะยิ่งนานวันก็ยิ่งห่างไกล จากทักษะและความสามารถที่ออกมาล้วนไม่น่าประทับใจเลย !!