เมืองไทย 360 องศา
การปรากฏตัวในที่สาธารณะอย่างต่อเนื่องของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในสถานะ “นักโทษ” ได้รับการพักโทษกำลังถูกจับตามองและวิพากษ์วิจารณ์ มากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องของความเหมาะสม เพราะนอกเหนือจากยังเป็นนักโทษแล้ว ยังทำตัว “เหนือนายกฯ” เสียอีก เพราะลักษณะที่เห็นไม่ต่างจากการไปตรวจราชการ หรือไป “ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร” กันเลยทีเดียว หลังจากมีรัฐมนตรีหลายคนเข้าพบ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร ไปปรากฏตัวที่จังหวัดภูเก็ต และอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ 2 พฤษภาคม แต่การเดินทางไปจังหวัดภูเก็ตครั้งนี้ ลักษณะก็เหมือนกับการเดินทางไปที่อื่นๆ ก่อนหน้านี้ นั่นคือ ไม่ต่างจากการไปตรวจราชการ ไปตรวจโครงการ และการให้ข้อเสนอแนะต่างๆ เหมือนกับนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง มีข้าราชการ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด มีหัวหน้าส่วนราชการไปต้อนรับ และรายงาน นอกเหนือจากบรรดารัฐมนตรี หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญที่คอยไปรายงานกันอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ในเรื่องของความเหมาะสม หมิ่นเหม่ในเรื่องการทำผิดกฎหมายหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันหากมองในมุมการเมือง ก็ต้องเข้าใจว่า การออกตัวของนายทักษิณ ในแบบที่ว่านี้ มันก็ไม่ต่างจากการ “เรียกเรตติ้ง” ให้กลับคืนมา ก็อย่างที่รับรู้กันก็คือ เวลานี้ ทั้งพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลกำลังอยู่ในภาวะถดถอย เริ่มขาลง และรัฐบาลที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่มีผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันจนสร้างความประทับใจให้กับชาวบ้าน ปัญหาเศรษฐกิจข้าวของแพง กำลังรุมเร้าเข้ามา คำว่า “แพงทั้งแผ่นดิน” กำลังย้อนมารัดคอตัวเอง
แม้ว่าต้องยอมรับความจริงกันว่า มีปัญหาเศรษฐกิจกันทั่วโลก จากภาวะสงคราม ปัญหาด้านราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นอยู่เหนือการควบคุม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ต้องบริหารจัดการให้เกิดความพอใจ ซึ่งที่ผ่านมา 7-8 เดือน แล้วยังสร้างความผิดหวัง โดยผลสะท้อนผ่านทางผลสำรวจล้วนออกมาตรงกันว่า รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกำลังเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ เรียกว่า ทุกเรื่องล้วนถดถอยหมด เมื่อเทียบกับฝ่ายตรงข้าม ชนิดที่เรียกว่าหากมีการเลือกตั้งวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งหนักกว่าเดิมอีก ซึ่งสาเหตุหลักเชื่อว่าหลายคนก็รับรู้กันไปแล้ว เพราะส่วนตัวมาจากพฤติกรรมและความเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งสิ้น
แม้กระทั่งล่าสุดที่เพิ่งมีการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เรียกว่า “เศรษฐา1/1” ผลออกมากลับออกมาในทางลบมากกว่าบวก เพราะตัวบุคคลที่ถูกประกาศชื่อเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ หรือมีการโยกสลับสับเปลี่ยนกัน ไม่ได้สร้างความประทับใจ หรือมีความหวังได้เลย มีแต่เสียง “ยี้” และความไม่น่าไว้วางใจ ถูกมองว่าเป็นลักษณะต่างตอบแทน การบริหารอำนาจแลกเปลี่ยนตำแหน่งกันภายในครอบครัวเท่านั้น และทำให้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า คนที่อยู่เบื้องหลังในการเคาะรายชื่อว่ามาจากใคร
จะด้วยสาเหตุขาลงดังกล่าวหรือเปล่า ที่กลายเป็นตัวเร่ง ให้นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็นทุกอย่างทั้งในพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล ต้องเร่งออกโรงมากกว่าเดิม เนื่องจากอาจเชื่อว่า มีแต่เขาเท่านั้นที่จะช่วยดึงความนิยมให้กลับคืนมาดังเดิมหรือมากกว่าเดิม เนื่องจากมั่นใจในผลงานในอดีต ในช่วงเป็นนายกรัฐมนตรี จนสามารถสร้างบารมีอยู่เหนือทุกองค์กร
ด้วยความเชื่อดังกล่าวหรือเปล่า ทำให้เขาต้องเร่งเดินสายในแบบ “โชว์เพาเวอร์” ทำตัวไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อยู่ “เหนือนายกฯ” เสียอีก ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ยังทำให้เห็นว่าเป็นลักษณะ “นายกฯคู่” เพราะระหว่างที่ นายทักษิณ กำลังเดินสายในลักษณะออกตรวจราชการนั้น โดยครั้งต่อไปมีรายงานว่าเขามีคิวไปภาคอีสาน อาจเริ่มต้นที่ จังหวัดนครราชสีมา
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็มีกำหนดการของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ ก็มีคิวลงพื้นที่ จังหวัดมหาสารคาม และ ร้อยเอ็ด
จากการเปิดเผยของ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการตรวจราชการ ณ จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 5 - 6 พฤษภาคม 2567 เพื่อติดตามประเด็นยาเสพติด และหนี้นอกระบบ การบริหารจัดการน้ำ รับฟังปัญหาและพบปะประชาชน การขยายเขื่อนป้องกันตลิ่ง และพนังกั้นน้ำ ปัญหาน้ำกัดเซาะตลิ่งและถนนชำรุด รวมถึงการใช้บริการและความพร้อมของเครื่องมือแพทย์ โดยมี น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ร่วมคณะด้วย
“การเดินทางไปตรวจราชการ ณ จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ดของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ประเด็นสำคัญเพื่อติดตามงานตามนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการนายกฯ ทั้งปัญหาเรื่องยาเสพติด ที่รัฐบาลกำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังและเด็ดขาด โดยเฉพาะการลดจำนวนผู้เสพยาเสพติดด้วยการบำบัดรักษา และต่อยอดการแก้ไขปัญหาผู้ผ่านการบำบัดอย่างครบวงจร รวมไปถึงปัญหาหนี้นอกระบบ ที่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมาย เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในวงจรหนี้นอกระบบได้ออกจากวงจรนี้ได้อย่างแท้จริง ให้สามารถใช้ชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรี และมีความสุขทั้งกายและจิตใจ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชน การใช้น้ำสำหรับด้านการเกษตร อุตสาหกรรม ด้านการท่องเที่ยวและการรักษาระบบนิเวศด้วย พร้อมกันนี้ นายกฯ จะได้พบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง” โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว
นั่นเป็นกำหนดการของ นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่ไปตรวจราชการที่ภาคอีสาน ที่จังหวัดมหาสารคาม และร้อยเอ็ดในวันที่ 5-6 พฤษภาคมนี้ ขณะที่อีกคนหนึ่งคือ นายทักษิณ ชินวัตร ก็มีกำหนดการไปภาคอีสานเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าจะเริ่มที่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งถือว่าเป็นฐานเสียงสำคัญ
แน่นอนว่าหากโฟกัสกันเฉพาะ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นหลัก เนื่องจากเวลานี้เขาได้ออกโรงเต็มที่แล้ว และเชื่อว่าจะมีการเคลื่อนไหวหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่แคร์ใครอีกแล้ว เป้าหมายก็หวังว่าจะเรียกความนิยมให้กับรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยให้กลับมา ส่วนจะเป็นไปตามเป้าหรือไม่ อีกไม่นานก็น่าจะเห็นผล แต่หากพิจารณาจากผลสะท้อนจากสังคมในช่วงที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่า น่าจะกลายเป็นภาพลบมากกว่าบวกแน่นอน !!