“ก้าวไกล” ฉะโฆษกแรงงาน ออกจากห้องแอร์มาฟังเสียงพี่น้องแรงงานบ้าง ค่าครองชีพแบบนี้ต้องขึ้นค่าแรงทั่วประเทศได้แล้ว งงบอกให้ “เย็นให้พอ รอให้ได้” ทั้งที่ ก.แรงงาน ให้ข่าวสับสนเอง ให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ตลอด ทำแบบนี้ “ใครจะมาเย็นกับท่าน”
วันนี้ (2 พ.ค.) นายเซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขอให้ตน “เย็นให้พอ รอให้ได้” ในเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพราะกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคีที่ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ดังนั้น ฝ่ายการเมืองหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายหรือทำอะไรได้ตามอำเภอใจ พร้อมขออย่าให้ตนนำพี่น้องแรงงานมาอ้างเพื่อเรียกคะแนนให้ตัวเองหรือสร้างความขัดแย้ง
นายเซีย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ตั้งเป้าหมายว่าจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาทต่อวันให้ได้ภายในปี 2567 ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก็ออกมายืนยันอย่างหนักแน่นเมื่อวานนี้ ว่า จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศ ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ การออกมาพูดเช่นนี้ก็ยังไม่ผ่านมติที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างเช่นกัน ถ้าโฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขอให้ตน “เย็นให้พอ รอให้ได้” เพราะรัฐบาลนี้ทำงานโดยยึดหลักกฎหมาย แล้วรัฐบาลจะออกมาให้คำมั่นเช่นนี้ได้อย่างไร นี่คือ ความย้อนแย้งหรือไม่ แล้วจะไม่ให้ตนกล่าวว่าเป็นการให้ความหวังกับพี่น้องแรงงานแบบลมๆ แล้งๆ ได้อย่างไร
นายเซีย กล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลเศรษฐาให้ความหวังกับพี่น้องแรงงานแบบลมๆ แล้งๆ เช่น เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 รัฐบาลออกข่าวตีปี๊บใหญ่โตว่าได้อนุมัติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันแล้วใน 10 จังหวัด แต่ที่จริงเป็นการขึ้นแค่บางพื้นที่ในจังหวัดนั้นๆ และขึ้นเฉพาะธุรกิจโรงแรม 4 ดาว ที่มีลูกจ้าง 50 คนขึ้นไป อีกทั้งพื้นที่ที่ปรับขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นพื้นที่เมืองที่ปกติได้รับค่าแรงเกิน 400 บาทอยู่แล้ว
ขณะที่เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ก็มีข่าวว่ารัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงานจะประกาศเซอร์ไพรส์ใหญ่ในวันแรงงานสากล 1 พฤษภาคม โดยจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาท ซึ่งสุดท้ายต้องออกมาแก้ข่าวว่าเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน นี่คือความสับสนและความไม่ชัดเจนที่รัฐบาลเศรษฐาก่อขึ้นเอง ให้ความหวังกับพี่น้องแรงงานเอง เมื่อมีพี่น้องแรงงานและผู้ประกอบการ SME สะท้อนข้อกังวลจากความไม่แน่นอนเช่นนี้ขึ้นมา ตนก็แค่สื่อสารความทุกข์ร้อนเหล่านั้นออกไป แล้วจะมาบอกให้ตน “เย็นให้พอ รอให้ได้” ได้อย่างไร
“ท่านโฆษกฯ อย่าพูดเพื่อเอาใจนายโดยไม่ลืมหูลืมตา ขอให้รัฐบาล รัฐมนตรี รวมถึงท่านโฆษก ออกมาจากห้องแอร์ เปิดใจมองเรื่องนี้ให้รอบด้าน รับฟังเสียงพี่น้องแรงงานบ้าง ยอมรับความจริงว่าจากสภาพค่าครองชีพปัจจุบัน ค่าแรงขั้นต่ำต้องสูงขึ้นกว่านี้ได้แล้ว ความเดือดร้อนของพี่น้องแรงงานรอไม่ได้ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเทอมลูก ค่าเช่าบ้าน ค่าสินค้าอุปโภคบริโภค มันรอไม่ได้ ต้องจ่ายเป็นประจำ ท่านให้สัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ผิดสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วมาบอกให้ผมกับพี่น้องแรงงาน ‘เย็นให้พอ รอให้ได้’ ใครจะมาเย็นกับท่านครับ”
นายเซีย กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนและพรรคก้าวไกลให้ความสำคัญกับพี่น้องแรงงานตลอดมา จึงได้เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานเข้าสภา ซึ่งหนึ่งในสาระสำคัญคือการจัดตั้งกลไก “การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแบบอัตโนมัติทุกปี” ผ่านสูตรคำนวณที่อ้างอิงตัวชี้วัดสำคัญ เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย คือ แรงงานไม่ต้องลุ้นปีต่อปีว่าปีนี้ค่าแรงจะขึ้นเท่าไร รายได้จะโตทันรายจ่ายหรือไม่ ขณะที่ผู้ประกอบการก็คาดการณ์ต้นทุนและวางแผนธุรกิจไปข้างหน้าได้ ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและเติบโตสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ร่างฯ ดังกล่าวไม่ผ่านความเห็นชอบในสภาฯ ตั้งแต่วาระ 1 แต่ตนและพรรคก้าวไกลยืนยันว่าจะทำงานอย่างหนักต่อไปผ่านกลไกกรรมาธิการ และการประสานงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องแรงงานทุกคนให้ดียิ่งขึ้น