เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่า “หน้ามืด” หรือ “เลือดเข้าตา” ก็แล้วแต่ แต่นาทีนี้มันเหมือนบีบบังคับให้ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องออกโรงลงมานำเองอย่างเต็มตัว และเปิดเผย ไม่ต้องเม้ม ไม่ต้องแคร์ใดๆ อีกต่อไปแล้ว
ล่าสุดเมื่อค่ำวันที่ 30 เมษายน มีรายงานความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมด้วย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา ได้เดินทางไป ซอยบางลา ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นวอล์กกิ้งสตรีท หรือถนนคนเดิน ที่รายล้อมไปด้วยสถานบันเทิงนับร้อยๆ แห่ง กลางเมืองป่าตอง แลนด์มาร์กชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของจ.ภูเก็ต
โดยมี นายวีรวิชญ์ เครือสมบัติ ประธานชมรมสถานบันเทิงหาดป่าตองคอยแนะนำบรรยากาศการท่องเที่ยวของซอยบางลา นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายธีระพงศ์ ช่วยชู นายอำเภอกะทู้ ร่วมคณะด้วย
นายทักษิณ ชินวัตร ได้เดินท่องราตรี เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป การมาในครั้งนี้ เป็นการมาแบบส่วนตัว ท่ามกลางนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติต่างเข้าไปขอถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกกันเป็นจำนวนมาก โดยมีการดูแลความปลอดภัยจากบอดี้การ์ดส่วนตัวเท่านั้น และมีรายงานว่า นายทักษิณ เดินทางมาพักผ่อนเป็นการส่วนตัวที่ จ.ภูเก็ต ระหว่างวันที่ 29 เม.ย.ถึง 2 พ.ค.นี้
ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานว่า การลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตครั้งนี้ มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยา และน้องสาวของนายทักษิณ ร่วมคณะด้วย
นั่นเป็นภาพเคลื่อนไหวล่าสุดของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ยังอยู่ในสถานะ “นักโทษ” ที่ได้รับการ “พักโทษ” แต่นาทีนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว เพราะขนาดไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ไม่ต้องตัดผม หรืออาจไม่ต้องบันทึกประวัติ ตามแบบฟอร์มนักโทษเด็ดขาดทั่วไป ยังทำกันได้ ไม่มีปัญหา ดังนั้นเรื่องที่เดินทางไปท่องเที่ยว ประชุมพรรค เรียกรัฐมนตรี รวมไปถึงนายกรัฐมนตรีมาติวเข้ม ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่อย่างไรก็ดี หากมองในมุมการเมือง วิเคราะห์ถึงแรงผลักดันที่ทำให้ เขาต้องเคลื่อนไหวแบบนี้ มันก็มองได้ไม่ยาก นั่นคือ พวกเขากำลังอยู่ในภาวะ “ตกต่ำและขาลง” อย่างมาก เมื่อเทียบกับบรรยากาศก่อนหน้านี้ และสิ่งที่สะท้อนภาพชัดจนกลายเป็นคำตอบก็คือ “พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้ง” อย่างหมดรูป แพ้กระทั่งในบ้านของตัวเอง ทั้งที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เขาได้ส่งตัวแทน “สายเลือดแท้” คือ “อุ๊งอิ๊ง” นส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นทายาทการเมืองโดยตรง มานำพรรค โดยได้รับการผลักดันอย่างเต็มที่ แต่พลาดท่าอย่างไม่น่าเชื่อ
ขณะเดียวกัน ด้วยภาวะที่อยู่ในช่วงขาลง “เสื่อมศรัทธา” ลงมาเรื่อยๆ อย่างที่เห็น ซึ่งสาเหตุสำคัญจะว่าไปแล้วก็ล้วนมาจากพฤติกรรมของพวกเขา โดยเฉพาะมาจาก นายทักษิณ แทบทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่ท่าทีไม่ชัดเจนในช่วงเลือกตั้ง ในเรื่อง “สาม ป.” จนใกล้เลือกตั้งบอกว่า “ปิดสวิตซ์สามป.” แต่หลังเลือกตั้งมีการจัดตั้งรัฐบาลทุกอย่างกลายเป็นตรงกันข้าม ทุกอย่างถูกมองว่า “ตระบัตสัตย์” ทำให้มวลชนผู้ที่สนับสนุนถอยห่างหันหลังให้เรื่อยๆ
จนกระทั่งมาถึงสถานะ “นักโทษเทวดา” ที่เป็น “อภิสิทธิ์ชน” หรือคนไม่เท่ากัน ทำให้ความเสื่อมถอยลงมาเรื่อยๆ แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และยังส่งผลลบมาถึงรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่า ไร้อำนาจที่แท้จริง ต้องได้รับการชี้นำมาจากคนในครอบครัวชินวัตร
แม้กระทั่งการปรับคณะรัฐมนตรี ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ยังถูกวิจารณ์ในทางลบ บรรดารัฐมนตรีหลายคนล้วนมีภาพ “ยี้” มีประวัติน่าสงสัย กลายเป็นว่าการปรับเข้าปรับออกล้วนไม่ได้มาจากความรู้ความสามารถ แต่กลายเป็นว่า “เด็กใคร” และตอบแทนใครได้มากกว่ากัน ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ภาพที่ออกมาในการปรับคณะรัฐมนตรีทุกสายตาจึงมองไปที่ นายทักษิณ ชินวัตร ว่าเขา “บงการ” หรืออยู่เบื้องหลังว่าจะให้ใครอยู่ หรือไป
ด้วยความเคลื่อนไหวทั้งในทางลับและเปิดเผยดังกล่าว กลายเป็นว่า ล้วนทำให้เกิดภาพลบกับ นายทักษิณ ชินวัตร กับพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงรัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน อย่างไม่น่าเชื่อ
พิสูจน์ได้จาก “นิด้า โพล” ก่อนหน้านี้ที่ระบุ เกี่ยวกับผลกระทบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย จากความเคลื่อนไหว ของทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลตำรวจ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.61 ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย รองลงมา ร้อยละ 33.21 ระบุว่า ส่งผลกระทบในทางลบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อคำกล่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคผู้นำในการเปลี่ยนแปลง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.47 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 18.85 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 15.73 ระบุว่า เห็นด้วยมาก และร้อยละ 8.01 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 29.24 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่ค่อยเป็นไปได้ ร้อยละ 12.82 ระบุว่า เป็นไปได้มาก และร้อยละ 3.82 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ส่วน “ซูเปอร์โพล” พบว่า คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลมากกว่าคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยอยู่ประมาณ 1 เท่าตัว คือ ร้อยละ 37.2 ต่อ ร้อยละ 17.2 อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ที่สุดหรือร้อยละ 45.6 ไม่เลือกทั้งสองพรรค จะเลือกพรรคอื่น
สรุปว่า ผลสำรวจจากทั้งสองโพลดังกล่าว ทำให้มีแนวโน้มชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยจะแพ้การเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งวันนี้ หรือในวันหน้า เรียกว่า “แพ้ขาด”
จะด้วยสาเหตุนี้หรือเปล่า ที่กลายเป็นตัวเร่งให้ นายทักษิณ ต้องรีบออกตัวชี้นำมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยหวังว่าจะตี้ตื้นคะแนนนิยมให้กลับมานำอีกครั้ง เชื่อว่าภาพลักษณ์ในอดีตจะทำให้เขากลับมาเป็นขวัญใจชาวบ้านได้อีกครั้ง อีกทั้งเหมือนกับการเดิมพันครั้งสำคัญ ว่าการออกตัวแบบนี้ เหมือนกับแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนคุมเกม “แบก” เอาไว้ทั้งหมดว่าทุกอย่างต้องพลิกกลับมาได้ แต่ก็นั่นแหละด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทั้งภายในและภายนอกที่ควบคุมยาก อาจทำให้ยิ่งถลำลึกลงไปกว่าเดิมหรือเปล่า !!