ข่าวปนคน คนปนข่าว
** เบื้องลึก “ปานปรีย์” ทิ้งทุ่น ครม.เศรษฐา 1/1 โยงนายใหญ่ งัดข้อ นายหญิง
หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งครม. “เศรษฐา 1/1” ไม่ทันข้ามวัน “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” ก็ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ขอลาออกจาก รมว.การต่างประเทศ และทุกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายทันที เพราะไม่พอใจที่ถูกริบตำแหน่งรองนายกฯไป เหลือเพียง รมว.การต่างประเทศ
แน่นอนว่า คอการเมืองย่อมมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
“ปานปรีย์” ให้เหตุผลถึงความจำเป็น ของตำแหน่งรองนายกฯว่า จะทำให้การเจรจากับต่างประเทศ มีน้ำหนัก มีความน่าเชื่อถือ มากกว่าสวมหมวก รมว.ต่างประเทศ เพียงใบเดียว
ไม่ต้องดูอื่นไกล ในรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตอนแรกให้ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” เป็น รมว.การต่างประเทศ เพียงตำแหน่งเดียว ตอนหลังยังต้องให้นั่งควบรองนายกฯ อีกตำแหน่งหนึ่ง หรืออย่างในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ตอนแรก ก็ให้“ดร.ปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็น รมว.การต่างประเทศเพียงตำแหน่งเดียว แต่ตอนหลังก็ให้ควบรองนายกฯ ด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น “ปานปรีย์” ยังยกเอาผลงานในช่วงที่ดำรงตำแหน่งมาตีแผ่ให้เห็นว่า ได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง มีผลสำเร็จแค่ไหน ดังนั้นการถูกริบตำแหน่งรองนายกฯและการลาออกครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะไร้ผลงาน!!
ในเมื่อการปรับครม. ไม่ได้วัดกันที่ผลงาน ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำว่า งานนี้มีรายการ “คุณขอมา–เด็กของใคร”แน่นอน
วงในเป็นที่รับรู้กันว่า “ปานปรีย์” นั้นเป็นสายตรง “นายหญิง” แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า เคยเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร , เป็นผู้แทนการค้าไทย เรียกว่าเป็นหนึ่งใน “คีย์แมนเศรษฐกิจ” ของพรรค
ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลนั้น “นายใหญ่” ยังวุ่นวายอยู่กับเรื่องทำอย่างไร เมื่อกลับมารับโทษแล้วไม่ต้องนอนคุก จึงยังไม่ได้มาบริหารจัดการว่า ใครจะอยู่ตรงไหนใน ครม.เศรษฐา ดังนั้นอำนาจจึงอยู่ในมือ “นายหญิง” เต็มที่ “ปานปรีย์” จึงได้เป็นรองนายกฯควบ รมว.การต่างประเทศ
ถึงตอนนี้ “นายใหญ่” ได้พักโทษ ลงมาจากชั้น 14 แล้ว ได้ฟื้นฟูจิตใจ ร่างกาย หายจากอาการกระดูกคอเสื่อม เอ็นหัวไหล่เปื่อยยุ่ยแล้ว จึงมีเวลาในการจัดการวางคน สำหรับการปรับครม. ครั้งนี้
ตำแหน่งรองนายกฯของ “ปานปรีย์” จึงถูกริบไป
เรื่องตำแหน่งรองนายกฯกับ “ปานปรีย์” นั้น ว่ากันว่าในช่วง “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เขาได้รับการทาบทามให้นั่ง รมว.พาณิชย์ แต่เขาเสนอเงื่อนไข ขอควบรองนายกฯด้วย เมื่อไม่ได้ตามที่ขอไป เขาก็ไม่รับตำแหน่งใดๆ...นี่คือตัวตนของ“ปานปรีย์”
เช่นกันในครั้งนี้ ถ้าการปรับครม.โดยไม่ริบตำแหน่งรองนายกฯของ “ปานปรีย์” ไปให้ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลังคนใหม่ ปัญหานี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา เขาโดนล้ำเส้น จาก“คนต่างสาย ” ในการทำงานที่ประทรวงการต่างประเทศ ซึ่ง “ปานปรีย์” ก็ไม่มีอำนาจต่อรองเท่าใดนัก เพราะไม่มี สส.อยู่ในมือ
เมื่อ “ปานปรีย์” ไขก๊อก ก็ต้องจับตาว่าใครจะมาเป็น รมว.การต่างประเทศ คนใหม่ เพราะมีภารกิจสำคัญรออยู่ คือการเตรียมพร้อมรับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กลับไทย ตามที่“ทักษิณ” เปรยไว้ว่า สงกรานต์ปีหน้าจะได้ร่วมเทศกาลกับยิ่งลักษณ์
สำหรับแผนกลับไทย ของ “ยิ่งลักษณ์”ที่ต้องโทษจำคุก 5ปี จากคดีจำนำข้าวนั้น แว่วว่า จะใช้สถานทูตไทยในต่างประเทศ ให้ “ยิ่งลักษณ์” ใช้รายงานตัว ตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อเดินเรื่องทำเอกสารต่างๆ เรียบร้อย จากนั้นก็จะเดินทางกลับไทย
“ปานปรีย์” อาจไม่ต้องการเป็นหนังหน้าไฟในเรื่องนี้ จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่จะมาเป็น รมว.ต่างประเทศ คนใหม่ รับไปแทนก็เป็นได้
แต่ต้นตอของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ก็พอจะชี้ให้เห็นว่า “ผู้มีอำนาจเหนือพรรค” เกิดการงัดข้อกัน!!
** "โจ๊ก สายมู"-อินฟลูฯอัยการเมาขับ ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวหวังลุยถั่วมั่วคดีไปป.ป.ช.-ดีเอสไอ
คดี "โจ๊ก สายมู" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เจ้าตัวดิ้นรนอย่างหนัก ด้อยค่าตำรวจทำคดีมิชอบ สรุปเอาเองว่าต้องส่งไป ป.ป.ช.เท่านั้น
ถ้าคดีไป ป.ป.ช. “โจ๊ก”ได้ชวนเชื่อว่า ยังไงๆ ตัวเองต้องรอด!
ความเคลื่อนไหวของ “โจ๊ก” ถ้าพูดในเรื่องกฎหมายก็อาจจะยังดูไม่มีน้ำหนักไม่พอ จึงต้องให้ "อินฟลูเอนเซอร์" สายกฎหมายมาร่วมเคลื่อนไหว
อินฟลูฯที่ว่า เห็นหน้าก็ร้องอ๋อ ซึ่งก็คือ "ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม" อัยการอาวุโส ที่เคยมีคดีเมาแล้วขับ ชนแล้วหนี
“โจ๊ก สายหมู” พูดอะไร “ปรเมศวร์” ก็ออกมาขยาย และพูดไปในทางเดียวกัน ราวกับนักร้องประสานเสียง
ชาวบ้านชาวช่องเห็นแล้วก็ลงความเห็น ช่างเป็นผีเน่ากับโลงผุ ดีแท้!!
ประเด็นใจความสำคัญที่ทั้งสองเคลื่อนไหวแหกปากร้องเหวกโหวก ฟ้องสังคมเน้นไปที่คดีฟอกเงินของ “โจ๊ก” ถ้าไม่ใช่ ป.ป.ช. ก็ต้องดีเอสไอ ทำคดี ทั้งๆที่เรื่องนี้ พนักงานสอบสวนตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานมาก่อนตั้งนานหลายปี
หากจะบอกตำรวจทำคดีมิชอบ เรื่องจะมาถึงขั้นศาลอนุมัติหมายจับได้อย่างไร!? ทั้งสองคนไม่พยายามพูดถึง
“โจ๊ก สายมู” กับ “อินฟลูฯเมาขับ” กลับบิดเรื่อง และตีความข้อกฎหมายให้เข้าข้างตัวเอง สีข้างจะถลอกอย่างไร ก็ไม่สนใจ
งานนี้ถ้าจะจับโป๊ะกันก็ต้องเตือนความจำ "โจ๊ก สายมู" กันหน่อย
เพราะไม่นานมานี้เอง “โจ๊ก” เองก็เคยคุมคดีฟอกเงินมูลค่ามหาศาล
โดยมีลูกน้องคู่ใจอย่าง “พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธุ์” นายกสมาคมพนักงานสอบสวน เป็นมือทำคดี ซึ่งเวลานี้ “พล.ต.ต.ไพโรจน์” ก็โดนคดีฟอกเงินพร้อมๆ กับโจ๊กไปแล้วนั่นเอง
คดีที่ว่านี้ ส่งจากตำรวจไปยังอัยการ แล้วอัยการสูงสุดก็สั่งฟ้องไปเรียบร้อย ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล
ทั้งๆ ที่คดีถ้าเทียบกับคดี “โจ๊ก”นี้ ก็มีนายตำรวจตกเป็นผู้ต้องหาด้วย แต่ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ก็ดึงไว้ในมือตำรวจแบบม้วนเดียวจบ
คำถามก็คือ ทำไม “โจ๊ก” ไม่ส่งคดีไป ป.ป.ช.หรือ ดีเอสไอ เหมือนที่ตัวเองกำลังเรียกร้องอยู่ตอนนี้ !?
“โจ๊ก” อย่าบอกว่าไม่รู้เรื่อง เอาให้ชัดๆ จะจะ คดีที่ว่าก็คือ คดีมาเฟียจีนเทา “ตู้ห่าว” ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ซึ่งมี พ.ต.อ.หญิง วัทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ ภรรยาของ ตู้ห่าว ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมฟอกเงินนั่นไง
โจ๊กจำได้หรือไม่ !?
ถ้ายังบอกไม่รู้ ไม่ชี้ นอกจากคดีจีนเทา ยังมีคดีตัวอย่าง ฎีกา ที่ 753-758/2539 ที่ ร้อยตำรวจเอกกองปราบฯ ไปขอความช่วยเหลือเป็นค่าใช้จ่ายจากนักพนัน นักพนันนั้นกลัวจะมีความผิด เพราะเปิดเล่นพนันที่บ้านเป็นประจำ จึงเสนอให้เงิน 10,000 บาท พอร้อยตำรวจเอก ขอเป็น 15,000 บาท ก็ยอมจ่ายให้
พฤติการณ์แห่งคดีนี้ ร้อยตำรวจเอกกองปราบฯ ไม่มีความผิด เพราะไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ข่มขืนใจผู้เสียหายแต่อย่างใด
ตรงข้าม ร้อยตำรวจเอกกองปราบฯ ไปขอเงินจากผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ โดยข่มขู่ว่า ถ้าไม่ยอมจ่ายเงินจะจับกุม
คดีนี้กลับเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 148 และเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ทรัพย์สิน ตาม ป.อ. มาตรา 337
จะเห็นว่า พฤติกรรมการกระทำผิดของตำรวจนั้น ต่อให้คล้ายคลึงกัน แต่ต้องดูในรายละเอียด
เหมือนที่ “โจ๊ก สายมู” ที่เห็นว่าคดี “ตู้ห่าว” ที่มีนายตำรวจระดับ พ.ต.อ.หญิง ตกเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ เป็นคดีที่ต้องส่งตรงไปที่อัยการเลย ไม่ได้เห็นว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. หรือ ดีเอสไอ แบบที่ตัวเองร่ำร้อง
แม้แต่ประเด็นการฟอกเงิน มูลค่ากว่า 300 ล้าน ที่ “โจ๊ก” อ้างว่า ต้องหลุดมือจากตำรวจ ไปอยู่ที่ดีเอสไอ สถานเดียว ก็เช่นกัน
คดีฟอกเงินเหมือนๆ กัน แต่ก็ต้องบอกว่า มีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาอีกเช่นกัน ต่อให้ตัวเลขมากกว่า 300 ล้านบาท ก็ไม่จำเป็นต้องคดีพิเศษของดีเอสไอ โดยอัตโนมัติ
เหตุผลเพราะว่า เงินหมุนเวียน กับเงินฟอก เป็นคนละส่วนกัน ต่อให้เงินหมุนเวียนมีมากมายมหาศาลเกิน 300 ล้าน แต่ถ้าเงินฟอกไม่ถึง 300 ล้าน ตำรวจต้องรับผิดชอบคดีนี้ไป
ขณะที่ การที่ ดีเอสไอ จะรับคดีใดๆ เป็นพิเศษ ก็ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการว่าเข้าหลักเกณฑ์คดีพิเศษหรือไม่
ใช่หรือไม่ใช่? พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และ อินฟลูฯ กฎหมาย อัยการเมาขับย่อมรู้อยู่แก่ใจ
ช่วงนี้ไหนๆ ว่างจัด "โจ๊ก สายมู" เชิญรับยาช่อง 4 ขอซีม่าโลชั่น มาทาแก้สีข้างถลอกบ้าง และอย่าลืมเผื่อๆ อัยการเมาขับด้วย นะครับนะ.