ข่าวปนคน คนปนข่าว
** FC เคลื่อนไหวแรง หลัง“หมอชลน่าน” ถูกเขี่ยพ้น ครม.
การปรับครม. “เศรษฐา1/1” ครั้งนี้ โผที่ออกมาในช่วงแรก มีชื่อรัฐมนตรีหลายคนที่อยู่ในข่ายถูกปรับออก แต่เมื่อถึงที่สุดแล้ว ก็มีรัฐมนตรี 4 คนที่ถูกปรับออก
หนึ่งในนั้นคือ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ต้องกลายเป็น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่วนคนที่มาแทนคือ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” นักการเมืองผู้คร่ำหวอด ไม่เพียงแค่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาล แต่อยู่แล้วได้เป็นรัฐมนตรีแทบทุกครั้ง
เมื่อประกาศชื่อออกมา ก็เกิดการเปรียบเทียบทันทีว่า ใครเหมาะสมกว่ากันในตำแหน่งนี้ บางคนถึงกับบอกว่า “สมศักดิ์” ที่พยายามผลักดันโครงการโคล้านตัว น่าจะไปเป็น “หมอผสมพันธุ์วัว ผสมพันธุ์ควาย” มากกว่ามาดูแลกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับ “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” สส.น่าน กับผลงานทางการเมืองในช่วงที่ผ่านนมา จัดได้ว่าเป็นหัวขบวนคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย ในสภาผู้แทนราษราษฎรคนหนึ่ง เขารับบทเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แบบไม่ได้เป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี”
ช่วงเลือกตั้งก็เป็นหนังหน้าไฟ ทนต่อเสียงวิพากวิจารณ์ และคอยแก้ตัว แก้ต่างให้กับ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรค ที่ปราศรัยหาเสียงแบบหลุดโฟกัสไปบ้าง โดยเฉพาะที่ประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “ปิดสวิตช์ 3 ป. ปิดสวิตช์สว.”
แต่พอหลังเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็ข้ามขั้วไปจับมือกับ “3ป.” ตั้งรัฐบาล จนถูกถล่มอย่างหนักว่า “ตระบัดสัตย์” แต่ นพ.ชลน่าน ก็ยิ้มรับ บอกว่านั่นเป็นแค่เทคนิกการหาเสียง ... แล้วต่อมา “นพ.ชลน่าน” ก็ลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดทางให้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวเถ้าแก่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อปรับภาพลักษณ์ว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ แล้ว “นพ.ชลน่าน” เข้าดำรงตำแหน่งรมว.สาธารณสุข นับแล้ว เป็นเวลา 239 วันก่อน พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว
ในโซเชียลฯมีการวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะ “เพจหมอชลน่าน Fc ไม่มีดรามา” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1 แสนคน ได้อัพเดตรูปโปรไฟล์ พร้อมข้อความเป็นบทกลอน ให้กำลังใจหมอชลน่าน ว่า
ชลน่านพลีชีพโดดเดี่ยวโดนกระทืบ
ผู้คนหนีเข้าซอกหลืบหลบมุมไหน
พอผ่านพ้นผู้คนตะเกียกตะกาย
เหยียบย่ำแย่งเป็นใหญ่ไร้ยางอาย
โพสต์นี้ มีผู้คนเข้ามาแสดงความเห็นมากมาย ทั้งที่เห็นอกเห็นใจ และเห็นว่าถึงเวลาพ้นจากตำแหน่งแล้ว อาทิ ...น่าเห็นใจนะ ยามไม่มีใครนำทัพก็ใช้หมอเป็นตัวล่อ พอเสร็จศึก ก็ถีบหัวส่ง...
...จงจำไว้ว่า ตอนถีบก้าวไกล ที่หมอออกหน้าเป็นหน่วยกล้าตาย มันคือนโยบายแค่ตอนหาเสียง ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวรจริงๆ การเมืองไทย ... อุตส่าห์ออกหน้า โดนด่า ตอนตั้งรัฐบาล ได้รางวัลมาเป็นรัฐมนตรี แป๊ปนึง ก็เหมาะกับงานช่วงนั้น ปูนบำเหน็จให้เป็น รมต.ตั้งหลายเดือน เกินพอแล้ว ... ฉายา “ชลน่าน ห้าเม็ด” คนเขาจะจดจำท่านไปแบบนี้จนตาย... “หมอชล” มากินช็อกมิ้น แก้ชอกช้ำกันเร็วๆ อิงค์เลี้ยงเอง
ที่น่าสนใจคือ มีบางคนบอกว่า นพ.ชลน่าน ควรออกจากพรรคเพื่อไทยดีกว่า กลับบ้านไปเปิดคลินิก รักษาชาวน่าน คนไหนยากจน ก็ไม่คิดค่ารักษาพยาบาล น่าจะได้บุญกุศลมากกว่ามาเป็น “นักการเมืองรองบ่อน” ที่เจ้าของพรรคไม่เห็นความสำคัญใดๆ
แต่ถ้าหาก “หมอชลน่าน” เห็นว่าเรื่องแค่นี้หมอทนได้ ก็จงทนต่อไป
** เพ้อไม่พัก “โจ๊ก สายมู” ว่างคิดสมัคร สว.
"โจ๊กสายมู" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ถูกให้ออกจากราชการ วันก่อนไปโหวกเหวกโวยวายที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หัวร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ว่าถูกปลดป้ายชื่อ และถอนชื่อตัวเองออกจากเว็บไซต์ได้ไง
ต่อมาโอละพ่อ สตช.หน่วยงานที่ดูแลสถานที่ตอกกลับหน้าแหก
ด้วยหลักฐานทนโท่จากกล้องวงจรปิด เป็น “ลูกน้องโจ๊ก” ปลดป้ายลูกพี่ออกเอง
ล่าสุด “โจ๊ก สายมู” ยืนยันว่า ลูกน้องตัวเองไม่ได้ปลดป้ายหน้าห้องทำงาน และชื่อในเว็บไซต์แน่นอน เพราะเมื่อทราบคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เมื่อวันพฤหัสที่ 18 เมษายน และในวันที่ 19 เมษายน ก็ให้ลูกน้องเข้าไปเก็บของในห้องทำงาน เช่น เอกสารส่วนตัว พระพุทธรูป รวมถึงคืนรถประจำตำแหน่งทันที เพราะตนเป็นคนมีวินัย ทั้งที่จะไม่คืนก็ได้ เพราะยังมีสถานะเป็น รอง ผบ.ตร. อยู่
เมื่อถูกถามว่า จะตามหาคนปลดป้ายชื่อหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ส่วนตัวตนไม่ตามหา ใครทำก็รับไป
เรียกว่า งานนี้ไม่มีลดราวาศอกแน่
อันที่จริง เรื่องมันก็น่าจะจบก็แค่เรื่องป้ายชื่อ ถอนชื่อจากเว็บไซต์ แต่ "โจ๊กสายมู" ที่ตำรวจในรั้ว ปทุมวันรู้จักนิสัยเป็นอย่างดีว่า เป็นคน "พาล" เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ได้จะไปหักพาลเหล่าร้ายเหมือนนามสกุล
มิหนำซ้ำ พออารมณ์โกรธครอบงำ ก็พาลไปเปรียบเทียบกับกรณีของ “พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” รอง ผบ.ตร. อีกคน ว่า ทำไม สตช.ไม่ปลดป้ายบ้าง
ประเด็นนี้ ฟังว่า คนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หัวเราะกันฟันโยก
เพราะเป็นคนละเรื่องกันเลย
“พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” อดีต รอง ผบ.ตร.นั้น ย้ายไปเป็นข้าราชการพลเรือน รับตําเเหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ถือเป็นเรื่องดีงามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเจ้าตัว
ส่วน “โจ๊ก สายมู” ถูกออกหมายจับ และให้ออกจากราชการเพราะต้องคดี สถานะคือ "ผู้ต้องหา"
ในวงการตำรวจซึ่ง“โจ๊ก” ก็รู้ดี คนทำผิดเป็นผู้ต้องหา มีหลักฐานและพยานยืนยัน อย่าว่าแต่จับ บางทีถ้าความผิดร้ายแรงก็ถึงขั้นวิสามัญได้เลย
แค่ปลดป้ายและถอนชื่อจากเว็บไซต์ จึงต้องบอกว่า เป็นเรื่องปกติที่ปราณีปราศรัยแล้ว ถ้าเป็น “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ก็ต้องบอกว่า "ใครไม่อาย ผมอาย"
ตอนที่ “ลูกน้องโจ๊ก”ปลดป้ายลูกพี่ตัวเองออก ก็อาจจะคิดถึงวลีนี้ของพล.ต.อ.สมยศ ก็ได้ โดยไม่ต้องสั่ง
“ลูกน้องโจ๊ก” อาจจะหวังดีกับลูกพี่ มีป้ายชื่อไว้ก็อายเขา "คนนินทา หมาดูถูก" อย่ากระนั้นเลย ปลดๆไปให้พ้นหูพ้นตาชาวบ้านเขาดีกว่า
งานนี้ก็ไปว่ากันเอง ระหว่างลูกพี่ กับลูกน้อง ก็แล้วกัน
อย่างไรก็ดี นี่ก็ต้องเชิญชมลูกน้องของ “โจ๊ก สายมู” ว่าทำถูกแล้ว เพียงแต่แค่พลาดนิด โดยที่ไม่รู้ว่าลูกพี่ตัวเองหลงตัวเองขนาดหนักแค่ไหนเท่านั้น
ดูเอาเถอะ เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าตัวยังหลงตัวเอง บอกกล่าวว่าเป็นที่รักของคนในสังคม ขอร้องอย่ามาแห่แหนกันมาให้กำลังใจ แค่ส่งออนไลน์มาก็พอ
โอ..เท่าที่เห็น และเป็นไป ในโลกโซเชียลฯ เขาตาสว่าง รับรู้กันหมดแล้วว่า “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” เป็นอย่างไร มันตรงกันข้ามกัน นะครับนะ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังคิดว่ามีคนรัก และศรัทธาตัวเองอยู่จำนวนมาก ถึงขั้นเปิดเผยความในใจ ตอนนี้ว่างงาน ก็คิดจะลงสมัคร สว. เพราะมีประชาชนเรียกร้อง อยากให้ตัวเองเป็นผู้แทน อีกทั้งยังแข็งแรงและมีพลัง มีความคิดสร้างสรรค์ ก็อยากใช้พลังทำงานให้ประชาชน
ต้องบอกว่า เชิญ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” เพ้อ และมโนไปตามที่ชอบที่ชอบเลย
ความเป็นจริงเป็นอย่างไร ไม่ต้องให้พูด ไม่ต้องให้ถึงประชาชนเลือก นับแค่ตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกเว้น “ลูกน้องโจ๊ก”ที่ถูกดำเนินคดีด้วยกัน จะมีสักกี่คนที่จะกาคะแนนให้โจ๊ก
เอาดีๆ นะครับนะ.