เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดการปรับคณะรัฐมนตรี ที่เชื่อว่า “เศรษฐา 2” มาถึงจุดไฟนอลแล้ว หลังจากได้เห็นความเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อตอนเที่ยง วันที่ 25 เมษายน ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าพบหารือกับนายทักษิณ ชินวัตร ในโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่เป็นธุรกิจของครอบครัว นายทักษิณ โดยคาดว่า การปรับคณะรัฐมนตรีดังกล่าวน่าจะเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์นี้
ขณะเดียวกัน จากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้เห็นภาพสะท้อนได้ชัดเจนว่า ทั้งรัฐบาล และการปรับคณะรัฐมนตรี ล้วนอยู่ภายใต้การกำกับของ นายทักษิณ ชินวัตร อย่างเต็มตัวและทุกขั้นตอน แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้นับจากนี้หากเกิด “แรงกระแทก” จากภายนอกกลับมา ก็ย่อมส่งผลโดยตรงมาถึงตัวเขาเช่นกัน เรียกว่า ไม่อาจลอยตัวได้ เพราะภาพที่ออกมาล้วนทำให้เชื่อว่า เป็นรัฐบาล และรัฐมนตรีที่ผ่านการคัดเลือกหรือ ได้รับไฟเขียวมาแล้ว นั่นคือ ใครเข้า ใครออก หรือใครได้ไปต่อ ล้วนมาจากประกาศิตจากเขาคนเดียวเท่านั้น
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เดินทางมาที่โรงแรมโรสวูด ถนนสุขุมวิท ด้วยรถตู้เล็กซัส เลขทะเบียน สร 30 กรุงเทพมหานคร โดยมีรถของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ติดตามมาด้วยในขบวน ทั้งนี้มีรายงานว่า มาพบและรับประทานอาหารกลางวัน กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาถึงก่อนแล้ว ท่ามกลางกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จ
ต่อมาเวลา 13.35 น. นายเศรษฐา เดินทางออกจากโรงแรมโรสวูด พร้อมกับรถยนต์ของ นายภูมิธรรม โดยใช้เวลารับประทานอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง ทั้งนี้นายกฯไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน และเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลทันที
ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า นายพิชัย ชุณหวชิร ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บอร์ดตลท.) คนที่ 18 ได้ลาออกจากการเป็นประธานกรรมการบอร์ด ตลท.แล้ว โดยมีผลเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) แจ้งต่อตลท.ว่า นายพิชัย ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการ และประธานกรรมการบริษัท เนื่องจากมีภารกิจมาก มีผลตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การลาออกของ นายพิชัย ชุณหวชิร คาดว่าเพื่อรับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทนนายเศรษฐา ทวีสิน ที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆ นี้
ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานว่า นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีข่าวว่าจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ที่มีข่าวว่าจะมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็เดินทางมารับเอกสารสำหรับกรอกประวัติ เพื่อให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติก่อนรับตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว
สำหรับตำแหน่งคณะรัฐมนตรีที่จะมีการปรับใหม่ มีการคาดหมายกันว่า นายเศรษฐา ทวีสิน อาจนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพียงตำแหน่งเดียว โดยนายพิชัย นอกจากมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว ยังดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และขับเคลื่อนนโยบาย “ดิจิทัลวอลเล็ต” ร่วมกับ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่เคยเป็นแม่งานมาตลอด และนายเผ่าภูมิ ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่
นอกจากนี้ยังมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ปัจจุบันเป็นรองนายกรัฐมนตรี จะไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แทน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส่วน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะควบรองนายกฯ ขณะที่ นายปานปรีย์ พหิทธนุกร รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่การกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะเหลือแค่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพียงตำแหน่งเดียว เป็นต้น
แน่นอนว่า การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ ย่อมมีหลายเหตุผล นอกเหนือจากเรื่องการหมุนเวียนการนั่งเก้าอี้ตามสไตล์ของพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทย ในยุคของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่สนองตอบต่อกลุ่มก๊วนการเมือง การต่อรองผลประโยชน์กับกลุ่มทุน ซึ่งตามสถิติแล้วจะมีอัตราเฉลี่ยการปรับคณะรัฐมนตรีประมาณทุก 6 เดือนถึง 1 ปี
อย่างไรก็ดีคราวนี้อาจมี “สถานการณ์” บางอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ต้องเร่งปรับคณะรัฐมนตรี นั่นคือ “ภาวะถดถอย” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเอง ก็ “เสื่อมเครดิต” ในลักษณะ “ขาลง” แบบคาดไม่ถึง เพราะเมื่อพิจารณาจากผลโพลล่าสุด ปรากฏว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขาอย่างเต็มตัวในช่วงที่ผ่านมากลับ “ไม่มีผลใดๆ” ต่อความนิยมของพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่น้อย ซึ่งภาษาบ้านๆ อาจเรียกว่า “แทบไม่มีตัวตน” เลยก็ว่าได้ และผลสำรวจยังชี้อีกว่า หากมีการเลือกตั้งวันนี้พรุ่งนี้ พรรคเพื่อไทยจะแพ้เลือกตั้ง (มากกว่าเดิม) อีก
และนี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องเร่งปรับคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งหลัก สำคัญ หลายตำแหน่ง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญให้เดินไปข้างหน้า เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต ที่หยุดชะงัก และกลายเป็นช่องโหว่ให้ถูกโจมตีจนเสียเครดิต อีกทั้งปัญหาเรื่อง “เศรษฐกิจปากท้อง” ที่เวลานี้ “แพงทั้งแผ่นดิน” กำลังกลับมาหลอนพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล หลังจากที่ผ่านมา “ด่าคนอื่น”ไว้เยอะ ตอนนี้กำลังเจอเข้าไปเต็มๆ จากราคาสินค้าที่พาเหรดขึ้นราคากันในทุกหมวดสินค้า
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งด้วยสถานการณ์ดังกล่าวที่รุมเร้าเข้ามาทุกทาง ทำให้เป็นแรงบีบคั้นให้ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องลงมากำกับด้วยตัวเองอย่างเปิดเผย แบบไม่ต้องปิดบังกันอีกต่อไป เหมือนกับว่า “ไหนๆ ก็ไหนๆ”แล้ว ถึงเวลาต้องวัดดวง ต้องระดมสรรพกำลังทุกอย่างที่มีเข้ามา เพราะงานนี้หากยังไม่เข้าเป้า ก็จะพังทั้งขบวน และคนที่พังป่นปี้ก็คือตัวเขานั่นเอง เพราะทุ่มสุดตัวแล้ว !!