xs
xsm
sm
md
lg

“โจ๊ก” ยื่น ป.ป.ช.อีกเอาผิด 200 พนง.สอบสวน อ้างถอนฟ้องนายกฯ เพราะถูกหลอกให้เซ็นคำสั่ง โวหากให้ ปชช.เลือกตนได้เป็น ผบ.ตร.แน่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“บิ๊กโจ๊ก” ร้อง ป ป.ช.เอาผิด 200 พนง.สอบสวนอีก ชี้ ถอนฟ้องนายกฯ เหตุเชื่อถูกคนที่เข้าพบคนสุดท้ายหลอกให้เซ็นคำสั่ง มั่นใจคุณสมบัติตัวเองเป็นยาสามัญประจำบ้าน หากให้ ปชช.เลือก ผบ.ตร.ชัวร์ ตนได้แน่


วันนี้ (24 เม.ย.) พลตำรวจเอก สุรเชษฐ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ตรวจสอบการทำงานของหัวหน้าพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับคดีการฟอกเงินจากเครือข่ายเว็บการพนัน BNK Master ซึ่ง พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ เห็นว่า กระทำการโดยชอบธรรมหรือไม่

พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นเทียร์ 2 หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาได้ร้องขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่า คณะพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน ทั้ง สน.เตาปูน และ สน.ทุ่งมหาเมฆ จึงถือว่าได้มาโดยมิชอบทั้งหมดไม่สามารถนำเข้าสู่สำนวนได้ ส่วนตัวไม่ได้ลงรายละเอียดในเนื้อหาสำนวนผิดถูกค่อยไปว่ากันแต่ต้องดูว่ามีอำนาจหรือไม่
โดยบุคคลที่ตนมายื่นร้องทุกข์กล่าวโทษมีตั้งแต่ พลตำรวจเอก ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนของคดีนี้ และคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด จำนวนกว่า 200 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา อยากขอเตือนน้องๆ ตำรวจ ว่า การสั่งของผู้บังคับบัญชา หากกังวลว่ามีคำสั่งแล้วไม่ทำจะโดนย้าย อยากบอกว่าถ้าย้ายไปก็ย้ายกลับได้ แต่หากถูกดำเนินคดีอาญาต้องติดคุก ซึ่งบางคนที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ อาจจะต้องใช้เวลาจากนั้นในการต่อสู้ทางคดีไปตลอด ซึ่งหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว ก็ต้องออกจากราชการไว้ก่อน อย่าทำเป็นเล่น เพราะกระบวนการตรวจสอบของ ป.ป.ช.มีความรอบคอบ เป็นธรรมแน่นอน


พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ยังกล่าวถึงการตรวจสอบ เส้นทางเงินของ สน.เตาปูน และ สน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งเป็นเส้นทางเงินเดียวกัน มูลค่ารวมเกิน 300 ล้านบาท แต่กลับไม่ส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตามกฎหมาย ในกรณีนี้พนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจเปรียบเสมือนพยาบาลไม่ใช่แพทย์หากทำคลอดเองเด็กจะตาย จึงขอแนะนำว่า ให้พนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องทุกคนมาให้ปากคำกับ ป.ป.ช. และบอกว่าใครเป็นคนสั่งการ เป็นทางเดียวที่จะรอด เข้าใจว่า วันนี้ทุกคนเครียดหมด ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่การข่มขู่เป็นเพียงการเตือนเท่านั้น ตนไม่ได้หน้าด้าน หากตนผิดตนพร้อมออกทันที

พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ยังกล่าวกรณีถอนคำร้องที่ขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากการแต่งตั้ง ผบ.ตร. และส่งตัวตนกลับ สตช. ว่า ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ได้ยื่นตรวจสอบไปแล้ว และอยู่ในกระบวนการของ ป.ป.ช. ที่ดำเนินการไปไกลแล้ว หากยื่นใหม่ถือเป็นการยื่นซ้ำและทำให้การสอบสวนยิ่งล่าช้า จึงได้ถอนคำร้อง

“ส่วนตัวเชื่อว่า นายกรัฐมนตรีถูกหลอกให้เซ็นรับทราบ เพราะคนที่อยู่ในกระบวนการไม่จำเป็นต้องมีส่วนรู้เห็นเสมอไป ท่านอาจจะไม่ได้มีเจตนาในการกระทำความผิด ซึ่งคนที่หลอกหวังเอาแต่ตำแหน่ง หวังเป็น ผบ.ตร. หลอกได้ทั้งนายกฯ และลูกน้อง ไม่อายพระบ้างหรือไง เห็นเพียงประโยชน์ส่วนตน ไม่เห็นถึงลูกน้อง ในส่วนนายกรัฐมนตรีเข้าใจว่าการส่งตัวตนกลับไปเพื่อทำงาน แต่ที่ไหนได้เป็นการมาหลอกให้ส่งตัวตอนเที่ยงวัน ซึ่งทำเป็นขบวนการหวังสกัดผมไม่ให้เป็น ผบ.ตร. โดยคนที่อยู่ในขบวนการคือคนที่ไปพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นคนสุดท้ายก่อนจะมีคำสั่ง พรุ่งนี้ผมจะมาอธิบายเทียร์ 3 ว่า ถูกออกจากราชการได้อย่างไร ที่รู้เพราะได้โทรศัพท์ไปกองวินัยฯ จึงรู้มีการเตรียมการล่วงหน้า 2 วัน” พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าว พร้อมยืนยันว่า ส่วนตัวไม่ได้พูดคุยกับนายกฯ แต่เป็นการตรวจสอบด้วยตนเอง การออกมาครั้งนี้ถือเป็นการดับเครื่องชน เพราะต้องการความยุติธรรมคืนเพื่อปกป้องตัวเอง เพราะหากไม่ปกป้องตัวเองไม่ได้จะปกป้องประชาชนได้อย่างไร


ส่วนที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการปลดป้ายชื่อหน้าห้องและเอารูปออกจากทำเนียบผู้บังคับบัญชา พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ มองว่า เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดและเป็นการทำตามขั้นตอนไม่ได้มองว่าเป็นลางร้าย และยังคงไม่ขอพูดเรื่องเอกสารคัดค้านกรรมการ ป.ป.ช. ว่าหลุดออกมาได้อย่างไร แต่ยอมรับว่าเป็นไปตามเอกสาร และอยากบอกว่า คนทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ เชื่อถือได้ เพราะตำแหน่งอยู่ไม่นาน แต่ตำนานอยู่นาน ความจริงคือความจริง บางคนรู้ที่ไปแต่ลืมที่มา โดยในวันพรุ่งนี้จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้นจะเดินทางไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริต

เมื่อถามว่า ยังหวังว่า นายกฯ จะช่วยในการเพิกถอนคำสั่งให้ออกจากราชการหรือไม่ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ได้ คาดหวังว่า ใครจะมาช่วย ตอนนี้ทางออกของตน คือ กระบวนการยุติธรรม ส่วนตนจะมีโอกาสเป็น ผบ.ตร.หรือไม่ เป็นเรื่องของอนาคต แต่ส่วนตัวเชื่อว่าหากตำแหน่ง ผบ.ตร.มาจากการเลือกตั้ง อย่างไรประชาชนก็จะต้องเลือกตนแน่นอน พบประชาชนมองว่าตนเปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้าน คิดอะไรไม่ออกบอกโจ๊ก

เมื่อถามว่า คนที่อยู่ในขบวนการสกัดไม่ให้เป็น ผบ.ตร. มีคนที่ใหญ่กว่าคนที่เข้าพบนายกฯ อยู่เบื้องหลังหรือไม่ พลตำวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่มี และมองว่า ไม่เชื่อมโยงไปถึงฝ่ายการเมือง เพราะนี่เป็นกระบวนการของฝ่ายตำรวจ ส่วนที่มีคนออกมาแฉว่า ก่อนเข้าพบนายกรัฐมนตรี บุคคลดังกล่าวได้เดินทางไปบ้านจันทร์ส่องหล้านั้น ส่วนตัวไม่ทราบในเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าไม่เกี่ยว

“เล่นกันแรงอยู่แล้ว เพราะว่ามันต้องเล่นกับแรงแบบนี้ในเมื่อคนมันอยากเป็น มันห้ามไม่ได้ ก็คนที่ไปพบนั่นแหละใครไปพบก็คนนั้น”


ทั้งนี้ ในช่วงท้ายการให้สัมภาษณ์ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ได้ยกแขนขวาเพื่อโชว์สายสิญจน์ และวัตถุมงคลที่ตนเอง เดินสายทำบุญที่ จ.เชียงใหม่ ช่วงต้นเดือน เม.ย. โดยเป็นช่วงเดียวกับที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายวันนี้ เวลา 14.00 น. พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ จะเดินทางไปยื่นคัดค้านกรณีมีการส่งหลักฐานการตรวจสอบเส้นทางการเงินของพนักงานสอบสวนที่ส่งให้ ปปง. ก่อนหน้านี้ ว่าเ ป็นการได้มาโดยมิชอบ ไม่สามารถนำมาประกอบสำนวนได้ และในวันพรุ่งนี้จะเดินทางไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และประธาน ก.ตร. ว่า การออกคำสั่ง ให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน เป็นการออกคำสั่งโดยมิชอบ และหลังจากนั้น จะมีการดำเนินคดีอาญากับรักษาราชการแทน ผบ.ตร. กรณีออกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยไม่ชอบ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง


กำลังโหลดความคิดเห็น