ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“โจ๊ก สายมู” ควรไปปรึกษาอาจารย์น้อง “น.” เชื่อมจิตเผื่อรอด ยิ่ง “แหลไปร้องไป” ประจานธาตุแท้!
เล่นใหญ่ไล่ฟัดใครต่อใครไปดะแล้วสำหรับ “โจ๊ก สายมู” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่หลังพิงกำแพง ถูกให้ออกราชการไว้ก่อน เพราะต้องคดีเว็บพนันและฟอกเงิน
โดยนาทีนี้ มองเห็นแต่ความผิดผู้อื่นเท่าภูเขา ผิดของเราเท่าเส้นหมี่ หาว่าทั้งหมดคือการกลั่นแกล้ง มีขบวนการแบ่งงานกันทำมารังแกตัวเอง
“โจ๊ก สายมู” ยืนแถลงข่าวหน้าป.ป.ช. เมื่อวาน(22เม.ย.) ด้วยภาพลักษณ์พลเรือนที่แม้จะใส่สูท แต่ไม่อาจปิดบังด้ายสายสิญจน์ ที่ผูกข้อมือมาเต็มพิกัด ยังว่า ถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว แต่ไม่ใช่ตัวเองจึงเดินทางมาป.ป.ช. เพื่อยื่นเรื่องร้องเรียน “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่มีคำสั่งให้ตนกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วให้ออกจากราชการ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น มีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ และอยู่ในกระบวนการสอบสวน 60 วัน
พร้อมทั้งกล่าวหาหัวหน้าพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจ
เรียกว่า ตอนนี้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” อยู่ในอาการ “หน้ามืด” ไม่ขอตายเดี่ยว งัดวิชา “ตายตกตามกัน” อันเป็นวิชาถนัดก้นหีบออกมาใช้ เหมือนช่วงที่สู้แย่งชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.กับ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” อย่างไรอย่างนั้น
ทางหนึ่งหวังบีบให้ “นายกฯเศรษฐา” ลงมาร่วมรับผิดชอบด้วย อีกทาง “เล่านิทาน” ด้วยวิธีแฉเพื่อด้อยค่า เบี่ยงเบนประเด็น ให้สังคมคล้อยตามว่า “ถูกกลั่นแกล้ง”
พูดไปก็เห็นลิ้นไก่ เห็นได้ชัดว่าทำทุกท่า ก็คือการดึงเรื่องราวคดีความทุกอย่างของตัวเองให้ไปอยู่ป.ป.ช. นั่นเอง
ก่อนหน้าก็ลากเอา“ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเอี่ยวกับกรณี “เอกสารป.ป.ช.หลุด” ที่ไม่รู้จะรู้ตัวมั้ย จะทำให้ “ลุงป้อม” ผู้มีพระคุณสุ่มเสี่ยงทำผิดกฎหมายที่ครอบงำ ป.ป.ช.ได้ จะให้ใครอยู่ ใครมาเป็นบอร์ดป.ป.ช. ก็ต้องให้ลุงไฟเขียว
แถมเนื้อในความระหว่างบรรทัดของหนังสือร้องเรียน ก็สะท้อน “ธาตุแท้” ของเด็กเลี้ยงแกะ เล่านิทาน หาความจริงไม่เจอ เพียงเพราะต้องการด้อยค่า “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” บอร์ด ป.ป.ช.
ว่ากันว่า สาเหตุคงเพราะ “สุชาติ” เป็นกรรมการป.ป.ช.เสียงข้างน้อยหนึ่งเดียว ที่คัดค้านไม่ให้ ป.ป.ช. รับคดี “โจ๊ก สายมู” มาพิจารณาเอง
คำถามก็คือว่า แล้วบอร์ดป.ป.ช. 4 คน ที่ลงคะแนนให้คดีโจ๊กต้องอยู่ที่ ป.ป.ช. ใช่เป็นพรรคพวกเดียวกันกับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” อย่างนั้นหรือ ?!
ที่เล่านิทานแบบไม่เนียนของ “โจ๊ก” อีกประเด็น เห็นจะเป็นเรื่องที่พยายามโยง "สนธิ ลิ้มทองกุล" ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง ที่เปิดประเด็นแฉ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ชื่นชม “สุชาติ” ในรายการคุยทุกเรื่องสนธิ ตามหน้าที่สื่อ ถูกเหมารวมเป็น "ปฏิปักษ์" จึงไม่ควรอยู่ทำคดีเขา
นี่ก็ตรรกะวิบัติของคนใจวิปริตยังไงไม่รู้ นะครับนะ
งานนี้ “โจ๊ก สายมู” กะด้อยค่า “สุชาติ” แต่ทำไปทำมากลายเป็นสาดโคลนเข้าป.ป.ช.เต็มๆ แถมกระเซ็นไปเลอะ “ลุงป้อม” เข้าให้อีก จน “นิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. ต้องออกโรงมาแถลงไข โดยรับว่าได้รับหนังสือร้องเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็ต้องพิจารณาว่าคำของ “โจ๊ก สายมู” ฟังขึ้นหรือไม่
เมื่อถามว่าไฉนจึงมี “เอกสารหลุด” ว่อนออกมา เลขาฯป.ป.ช. ถามกลับว่า “ตัวเขาเอาไปให้ผู้สื่อข่าวเองหรือเปล่า ไม่ใช่ป.ป.ช. แน่ๆ ผมไม่รู้นะอันนี้”
มาถึงตรงนี้ กวาดสายตาดูปฏิกิริยาของสังคม ผ่านโซเชียลมีเดีย คิดอย่างไรกับ “โจ๊ก สายมู” ที่ปฏิบัติการ“แหลไปร้องไป” ชาวเน็ตลงความเห็นแนะทางรอด ทางเลือกให้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ศรัทธามูเตลู สุดลิ่มทิ่มประตู หาโอกาสเข้าพบและปรึกษา “อาจารย์น้องน.” เชื่อมจิตด่วนเลย
ไหนๆ บอกเองว่า พอออกจากราชการมีเวลาว่างเยอะ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง นะครับนะ
**จะยึดเก้าอี้ประธานสภาฯให้ได้ ถึงกับปล่อยข่าว “วันนอร์” ยอมลาออก
การปรับครม.รอบนี้ ไม่เพียงวิ่งวุ่นอยู่ในฝ่ายรัฐบาล แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึง เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ซึ่งถือว่าเป็นประมุขฝ่ายฝ่ายนิติบัญญัติ
เพราะตามโผที่มีการปล่อยออกมาว่า “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จะนั่งควบรมว.กลาโหม แล้วให้ “สุทิน คลังแสง” พ้นจาก รมว.กลาโหม ไปทำงานสภาฯ นอกจากนี้ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ก็จะโยกไปนั่ง รมว.สาธารณสุข แล้วให้ “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” พ้นจากรัฐมนตรีไปทำงานสภาฯ เช่นกัน
คำว่า “ไปทำงานสภาฯ” จึงถูกตีความว่า ระหว่าง “สุทิน” กับ “หมอชลน่าน” คนใดคนหนึ่งคงจะไปรับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ “อาจารย์วันนอร์” วันมูหะมัดนอร์ มะทา นั่งอยู่
ที่ตีความกันเช่นนั้น ต้องย้อนอดีตไปช่วงก่อนจัดตั้งรัฐบาล ที่พรรคก้าวไกล มีจำนวนสส. มาเป็นที่ 1 พรรคเพื่อไทย มาเป็นที่ 2 ทั้งสองพรรคเตรียมจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน แต่ต่างฝ่ายต่างต้องการเก้าอี้ประธานสภาฯ มาไว้กับตัวเองก่อน เพราะประธานสภาฯ จะเป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี
พูดง่ายๆว่า ต่างฝ่ายต่างกลัวถูกหักหลัง จึงตกลงกันไม่ได้ สุดท้ายเก้าอี้ประธานสภาฯ จึงตกเป็นของ “คนกลาง” คือ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” หัวหน้าพรรคประชาชาติ ในขณะนั้น
พอพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ ก็เล็งว่าจะต้องยึดเก้าอี้ประธานสภาฯคืนมา เพียงแค่รอจังหวะ โอกาสเท่านั้น เมื่อจะมีการปรับครม. เก้าอี้ประธานสภาฯ จึงมาอยู่ในเงื่อนไขด้วย
หลังมีข่าวว่าจะยึดเก้าอี้ประธานสภาฯ เอามาเกลี่ยให้การปรับครม.ลงตัว “ท่านประธานวันนอร์” ก็ออกมากระตุก “ต่อมอยาก” ของบรรดาผู้กระหายอำนาจทันที บอกว่า รัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร จะปรับครม.ก็ปรับไป เพราะอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรี แต่อย่ามาก้าวก่ายกับฝ่ายนิติบัญญัติ ด้วยการเอาตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติไปเกี่ยวด้วย
ต้องไม่ลืมว่า การเปลี่ยนแปลงตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น ไม่ง่าย ถ้าไปแทรกแซง บงการ หรือครอบงำ ให้ออกจากตำแหน่ง ก็เป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะขัดรัฐธรรมนูญ ...เว้นเสียแต่ว่า “ประธานฯ” จะลาออกจากตำแหน่งเอง
เมื่อ “ประธานวันนอร์” แสดงท่าทีไม่เล่นด้วย ก็มีการปล่อยข่าวออกมาอีกว่า จะมีเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลภาคใต้ มาแลกกับเก้าอี้ประธานสภาฯ... เมื่อนักข่าวไปถามเรื่องนี้ “อาจารย์วันนอร์” ถึงกับหันหลังเดินหนีไปเลย
ล่าสุดมีข่าวออกมาอีกว่า ในระดับผู้ใหญ่ได้มีการเจรจากัน และ “อาจารย์วันนอร์” ยอมลาออกจากตำแหน่งแล้ว
งานนี้ “มุข สุไลมาน” เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องรีบออกมาแถลงว่า ข่าวที่ออกมานั้น เป็นการตัดเนื้อหาข่าวบางส่วน เอาเฉพาะที่อาจารย์วันนอร์ แถลงว่าจะลาออก ซึ่งเป็นเรื่องในอดีต ที่เคยลาออกจากตำแหน่งประธานสภาฯ เพื่อไปรับตำแหน่ง เลขาธิการพรรคความหวังใหม่
วันนี้ ขอยืนยันว่า ท่านประธานรัฐสภา ยังคงเป็นประธานอยู่ในปัจจุบัน และจะอยู่ครบเทอม ในตำแหน่งของท่าน ไม่มีใครมาบีบบังคับให้ท่านลาออกได้ และถึงจะมีการมาบีบคั้น ถ้าไม่มีเหตุผล ท่านประธานฯ ก็จะไม่ยอมรับอย่างที่เคยแถลงไว้แล้ว คงจะไม่มีอะไรมาทำให้ท่านออก หากมีข่าวในลักษณะนี้ออกมาอีก ขอให้รู้ว่าเป็นข่าวเท็จ...
...ต้องยอมรับว่า มีบางคนอยากจะมาอยู่ในตำแหน่งนี้ แต่โดยทางกฎหมาย ไม่สามารถทำได้ จึงพยายายามสร้างความอึดอัดใจ เพื่อให้ท่านทนสภาพไม่ไหว จนลาออกไปเอง แต่เชื่อว่า “ท่านประธานวันนอร์” เป็นคนมีเหตุและผล ท่านเคยกล่าวว่า ถ้าจะลาออก ก็จะลาออกเอง หากถึงเวลาเหมาะสม
เมื่อเป็นอย่างนี้ หนึ่งในสองแคนดิเดต ที่คาดหวังจะขึ้นเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ คงต้องรอต่อไป