เมืองไทย 360 องศา
หลังจากผลสำรวจออกมาทั้งของ “นิด้า โพล” และ “ซูเปอร์โพล” ออกมาก่อนหน้านี้ สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย คงใจฝ่อลงไปบ้าง เพราะผลสำรวจดังกล่าวล้วนสะท้อนออกมาตรงกันว่า “แพ้ขาด” และกลายเป็นว่า “ทักษิณ อัสดง” หรือหมดยุคของเขาไปแล้ว แต่ก่อนจะไปข้างหน้าก็ต้องทบทวนสำรวจความเห็นที่ว่าให้เห็นภาพกันก่อน
จาก “นิด้า โพล” ระบุ เกี่ยวกับผลกระทบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย จากความเคลื่อนไหว ของทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลตำรวจ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.61 ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย รองลงมา ร้อยละ 33.21 ระบุว่า ส่งผลกระทบในทางลบ ต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 19.54 ระบุว่า ส่งผลกระทบในทางบวกต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และ ร้อยละ 6.64 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความคิดเห็นของประชาชน ต่อคำกล่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคผู้นำในการเปลี่ยนแปลง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.47 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 18.85 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 15.73 ระบุว่า เห็นด้วยมาก และร้อยละ 8.01 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 29.24 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่ค่อยเป็นไปได้ ร้อยละ 12.82 ระบุว่า เป็นไปได้มาก และร้อยละ 3.82 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ส่วน “ซูเปอร์โพล” พบว่า คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกล มากกว่าคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย อยู่ประมาณ 1 เท่าตัว คือ ร้อยละ 37.2 ต่อ ร้อยละ 17.2 อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 45.6 ไม่เลือกทั้งสองพรรค จะเลือกพรรคอื่น
สรุปว่า ผลสำรวจจากทั้งสองโพลดังกล่าว ทำให้มีแนวโน้มชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยจะแพ้การเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งวันนี้ หรือในวันหน้า เรียกว่า “แพ้ขาด” อีกทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ช่วยอะไรได้มากนัก เหมือนกับว่าการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาทั้งขึ้นเหนือ เดินห้างพบปะชาวบ้าน กับมวลชนที่สนับสนุนไม่ได้มีผลอะไรเป็นกอบเป็นกำเลย จะเรียกว่า หมดยุคของเขาไปแล้วอย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากผลสำรวจแบบนั้น มันก็พอสรุปแบบว่า ทั้งพรรคเพื่อไทยที่จะต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งอีกรอบ และ นายทักษิณ ชินวัตร ถือว่า“หมดสภาพ” ไปแล้ว แต่อย่างไรก็ดี ในทางการเมืองมันยังมีองค์ประกอบอื่นที่ต้องนำมาพิจารณา ถึงแม้ว่าจะมองว่าพ่ายแพ้ แต่หากอีกมุมหนึ่งเขาก็รักษาสภาพแกนนำและ วิน วิน ด้วยกัน
เพราะหากพิจารณาจากผลโพลดังกล่าวที่ระบุว่า พรรคเพื่อไทยจะพ่ายแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล แม้ว่าจะค่อนข้างแพ้ขาด คือ แพ้ราวหนึ่งเท่าตัว แต่อีกด้านหนึ่งอีกกว่าร้อยละ 45 ชาวบ้านยังไม่เลือกทั้งสองพรรค จะเลือกพรรคอื่น นั่นคือจะเลือกแบบกระจายหลายพรรค ทำให้สรุปว่า แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะชนะ แต่ก็ไม่ชนะเด็ดขาด การเมืองก็ยังต้องแบ่งเป็น “สองขั้ว” ซึ่งคราวนี้จะแบ่งเป็น “ขั้วก้าวไกล” กับ “ขั้วเพื่อไทย” ตามคาด
อย่างไรก็ดี หลายคนอาจแย้งว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่พรรคก้าวไกลจะจับมือกับเพื่อไทย ซึ่งสำหรับพรรคก้าวไกลมีความเป็นไปได้ เพราะหากเป็นแบบนั้น พรรคก้าวไกลเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ก็เป็นแกนนำ ส่วนเพื่อไทยเป็นพรรคอันดับสอง ต้องเป็น “เบี้ยล่าง” ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ยอมแน่ เพราะเขากุมสภาพอำนาจรัฐไม่ได้
ซึ่งก็จะมีลักษณะในปัจจุบันนี้ ที่พรรคเพื่อไทยไม่อาจจับมือกับพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลได้ เพราะหากเป็นแบบนั้น คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องมาจากพรรคก้าวไกล จนทำให้บรรดา “ด้อมๆ” ทั้งหลายที่มอง “โลกสวย” เพ้อถึง “ฝ่ายประชาธิปไตย” อะไรนั่นผิดหวังฟูมฟาย เพราะมันไม่มีจริง มีแต่อำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง อีกทั้งอาจจะมีเรื่อง “ล้มเจ้า” จนไม่ได้เป็นรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่มันก็เป็นรายละเอียดในพรรคก้าวไกลเองที่ถูกมองออกว่ามีการ “สกัดกั้น” กันเองในระดับ “เจ้าของพรรค” นั่นแหละ
เมื่อวกมาที่ “ขั้วเพื่อไทย” ที่กำลังเกิดขึ้นอีกรอบ หลังการเลือกตั้งครั้งต่อไป แม้ว่าหากมองภายนอกทำให้หลายคนไม่ค่อยพอใจและอึดอัดใจ ที่ต้องมาจับมือกัน แต่ในทางการเมืองมันก็ต้องล็อกเอาไว้แบบนี้ เพราะพรรคเพื่อไทยด้วยสภาพในเวลานี้ และคาดว่าต่อเนื่องไปถึงการเลือกตั้ง “ไม่มีทางชนะ” แต่ยังเป็นพรรคใหญ่ น่าจะยังเป็นพรรคอันดับสอง ทำให้ต้องจับมือกับพรรคการเมืองที่อาจจะเรียกว่า “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ต่อไป และที่สำคัญ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ยังสามารถบงการอยู่เบื้องหลังได้ต่อไปเรื่อยๆ และที่สำคัญก็คือ เป็นแกนนำรัฐบาล มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในมือ
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันให้ซับซ้อนไปอีก การที่พรรคเพื่อไทย “ข้ามขั้ว” มาจับมือกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ถูกตราหน้าว่า “ตระบัดสัตย์” แบบนี้ มันก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร อยู่ในสภาพถดถอยอย่างที่เห็น แต่อีกด้านหนึ่งมันก็อาจเป็นความเต็มใจยอมกลืนเลือดเหมือนกัน เพื่อแลกกับการได้กลับมาเพื่อ “คุมเกม” อีกครั้ง ทำให้เกิดภาพเชิงซ้อนทางอำนาจแบบ “ในได้มีเสีย” และ “ในเสียก็มีได้” อะไรประมาณ ซึ่งก็คือ “วิน วิน” ด้วยกันนั่นแหละ
ด้วยสภาพความรู้สึกและผลสำรวจอย่างที่เห็น มันทำให้เห็นแนวโน้มชัดเจนว่า นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยจะแพ้ แต่ถึงจะแพ้ก็ยังมีโอกาสเป็นพรรคใหญ่อันดับสองสูงมาก(หมายเหตุ ยังไม่พูดถึงพรรคก้าวไกล จะถูกยุบหรือไม่) ซึ่งยังส่งผลดีก็คือยังสามารถเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้อีกกับพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกลแม้จะชนะ แต่คงไม่ชนะขาดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวไม่ได้ ต้องประคองตัวไปจนกว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นเจ้าของตัวจริง ได้กลับมา เพราะหากนับนิ้วจนถึงตอนนี้ ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่ปีแล้ว
ดังนั้นหากสรุปสถานการณ์ในตอนนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ตามรูปการณ์แล้ว นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย จะพ่ายแพ้ก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน “ก็ยังชนะ” แฝงอยู่ในที เพราะการเมืองล็อกเอาไว้ให้ต้องตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองปัจจุบัน กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม และหากมองในมุมซับซ้อน ก็เหมือนกับเขาถูก “วางยา” ไว้เช่นกัน ด้วยคำว่า “ตระบัดสัตย์” แม้จะไม่เต็มใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในสถานการณ์กำลังเปลี่ยนผ่าน!!