“โจ๊ก” บุก ป.ป.ช.ร้องเอาผิดนายกฯ-หน.พนง.สอบสวน ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ โวยถูกอาญาเถื่อนกลั่นแกล้ง หวังสกัดขึ้น ผบ.ตร ขู่เช็กบิลกลับทุกราย ปัดตอบปมร้องกรรมการ ป.ป.ช.เชื่อว่า ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ยันไม่ใช่คนปล่อยเอกสารหลุด
วันนี้ (22 เม.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นหนังสือถึง นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช.ขอความเป็นธรรม หลังจากที่ตนเองถูกดำเนินคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ BNK จนถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน รวมทั้งยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษนายกรัฐมนตรี โดยเป็นการกล่าวหา 3 ส่วน คือ 1. ร้องทุกข์กล่าวโทษนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ 2. ร้องทุกข์ว่าการสอบสวนไม่ชอบ และ 3. ร้องทุกข์กล่าวโทษคณะพนักงานสอบสวนทั้งชุด ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ภายหลังการยื่นคำร้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้นำชาร์ตรายละเอียดไทม์ไลน์มาประกอบการแถลงข่าว เพื่อลำดับเหตุการณ์ในคดีเว็บพนันออนไลน์ที่ตรวจสอบพบ การใช้บัญชีม้าของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธร สำโรงเหนือ การถูกตั้งข้อหา ออกหมายจับคดีฟอกเงิน จนไปสู่การออกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ตนจึงต้องออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง จะเน้นในเรื่องของคดีอาญาที่มีการดำเนินการโดยมิชอบ จะไม่พูดถึงสำนวนคดีว่าใครผิด ใครถูก โดยได้กางหลักฐานกระบวนการสอบสวนพร้อมระบุว่า ในคดีนี้เริ่มจากการดำเนินคดีกับลูกน้องตนทั้ง 8 นาย และมีการขยายผลมายังตน และลูกน้อง รวม 5 คน ท้ายที่สุดทาง ป.ป.ช. มีมติเรียกกลับสำนวน เพราะเป็นคดีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งตามกระบวนการ ตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นและส่งให้ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน โดยไม่ได้มีหน้าที่ในการสอบสวน หรือออกหมายเรียก หรือขอศาลออกหมายจับแต่ ปรากฏว่า หลังจากนั้น พนักงานสอบสวนกลับมีการทยอยแบ่งสำนวนกันทำ ทั้งที่เป็นเส้นเงินเดียวกัน ผู้ต้องหากลุ่มเดียวกัน และเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องส่ง ป.ป.ช. ในคราวเดียวกัน และเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ตนมองว่าการสอบสวนของตำรวจ สน.เตาปูน ไม่เป็นธรรม
“ในความผิดฐานฟอกเงิน ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช. สอบสวน ถ้าหากความเสียหายมูลค่าเกินกว่า 300 ล้านบาท ต้องเป็นอำนาจของ DSI โดยพนักงานสอบสวนจะต้องส่งสำนวนคดีพิเศษให้ DSI ภายใน 15 วัน แต่ทางพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน อ้างว่า ความเสียหายไม่ถึง 300 ล้าน แต่ภายหลังพบว่าสำนวนที่ส่งให้ ป.ป.ช. มีความเสียหายอยู่ที่ 490 ล้านบาท
มองว่า การที่พนักงานสอบสวน สอบสวนแทน ป.ป.ช. ไม่ได้หวังผลในเรื่องคดี แต่หวังผลไม่ให้ผมขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งตนเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. อันดับที่ 1 แต่หากตนเป็นอันดับที่ 6 คงไม่ถูกกระทำแบบนี้”
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มองว่า มีการกลั่นแกล้ง และมีขบวนการแบ่งงานกันทำ รวมถึงตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมา ได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมาโดยตลอด แต่ภายหลังจากที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเมื่อ 18 เม.ย. หนึ่งวันหลังจากนั้น คณะพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช.มองว่า ถ้ามีการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ตั้งแต่แรก ตนจะอยู่ในฐานะผู้บริสุทธิ์ จนกว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะชี้มูล และคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งตามกฎหมายจะไม่สามารถแต่งตั้งหรือโยกย้ายตนได้ พร้อมย้ำว่า “ถ้าสอบสวนอย่างเป็นธรรม แล้วผมผิดจริงผมออกเลยถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว แต่ที่อยู่สู้แบบนี้เพราะการสอบสวนไม่ชอบ ทำเหมือนอาญาเถื่อน”
ส่วนเรื่องวินัยได้เตรียมต่อสู้โดยการร่างหนังสือถึงคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และจะมีการแถลงข่าวในอีก 1-2 วันนี้ เพื่ออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยโดยมิชอบ และเชื่อว่าสื่อจะต้องตกใจอย่างแน่นอน
“การลงโทษทางวินัยให้ผมออกจากราชการ ทำได้ แต่ตอนจบจะเป็นหนังคนละม้วน คดีลักษณะนี้มีฎีกาเป็นคดีตัวอย่างมาแล้ว”
พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ยังกล่าวได้ว่า วันนี้จึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีมีคำสั่งให้ผมกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วให้ออกจากราชการ ทั้งที่ก่อนหน้ามีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ และอยู่ในขบวนการสอบสวน 60 วัน และกล่าวหาหัวหน้าพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจ ซึ่งเวลานี้ตนออกจากราชการแล้ว มีเวลาในการเตรียมตัวสู้คดีเยอะ หลังจากนี้ เตรียมตั้งรับให้ทันแล้วกัน
ส่วนเรื่องเอกสารที่ปรากฏสู่สาธารณะ ที่ได้มีการทำหนังสือคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของหนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช. และขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า สื่อคงเห็นรายละเอียดอยู่แล้ว จะไม่พูดถึง
เรื่องเอกสารที่ปรากฏ เอกสารนี้ไม่พูดละกัน แต่ทาง ป.ป.ช. จะเอาไปประชุมพิจารณา เชื่อว่าใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น
“วันนี้ผมมาหาความยุติธรรมนอกองค์กร เพราะองค์กรของผมให้ความยุติธรรมไม่ได้ วันนี้ใครเกี่ยวข้องผมจะดำเนินคดีทั้งหมด”
ส่วนในท่อนท้ายของเอกสาร มีการลงชื่อพยาน กล่าวอ้างถึง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือก่อนลงชื่อหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า ขอไม่ตอบในส่วนนี้ พร้อมยืนยันว่าตนเองไม่ใช่คนปล่อยเอกสารฉบับนี้ออกมาแน่นอน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากไม่ได้กลับไปเป็นข้าราชการตำรวจ จะหันไปเล่นการเมืองหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คิด เอาเรื่องสู้คดีก่อน เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลาน ว่า การกระทำโดยมิชอบจะมีผลอย่างไร