เมืองไทย 360 องศา
หากบอกว่า นายทักษิณ ชินวัตร เป็นความหวังเดียวของพรรคเพื่อไทย และครอบครัวชินวัตร ที่หวังว่าจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ทั้งทางการเมือง และธุรกิจของครอบครัวอีกครั้ง แต่มาถึงตอนนี้ยังถือว่าห่างไกลเป้าหมายอยู่มาก และแน่นอนว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดของ นายทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเหนือไปที่บ้านเกิดจังหวัดเชียงใหม่ มีการพบปะมวลชนถี่ยิบ การประชุมหารือกับบรรดารัฐมนตรี และส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ในช่วงที่ผ่านมา สำหรับคอการเมืองแล้วมองออกได้ไม่ยาก นี่เจตนาเพื่อสร้างความสนใจ เรียกความมั่นใจ ปลุกขวัญสมาชิกพรรค ให้กลับมาอีกครั้ง
การเคลื่อนไหวแบบนี้พวกเขามีความมั่นใจว่า นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็นทุกอย่างของพรรคเพื่อไทย และของรัฐบาล ที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน จะเรียกความนิยมให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง โดยยึดโยงกับภาพเก่าๆ ในช่วงยี่สิบกว่าปีก่อน ในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยเรื่อยมา อย่างไรก็ดีกลับกลายเป็นว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง เพราะผลที่ออกมากลายเป็นว่าความนิยมทั้งตัวนายทักษิณ รัฐบาล และพรรคเพื่อไทย มีแต่ความถดถอยอย่างไม่น่าเชื่อ และหากมีการเลือกตั้งในวันนี้ พรุ่งนี้พรรคเพื่อไทย ก็จะไม่ชนะการเลือกตั้ง
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “จากบทบาททักษิณ ถึง ฝันของนายกฯ เศรษฐา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 9-11 เมษายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาทของทักษิณ ชินวัตร และความเป็นไปได้ ที่พรรคเพื่อไทยจะชนะในการเลือกตั้งในครั้งต่อไป
จากการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย จากความเคลื่อนไหว ของทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลตำรวจ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.61 ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย รองลงมา ร้อยละ 33.21 ระบุว่า ส่งผลกระทบในทางลบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 19.54 ระบุว่า ส่งผลกระทบในทางบวกต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 6.64 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความคิดเห็นของประชาชน ต่อคำกล่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคผู้นำในการเปลี่ยนแปลง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.47 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 18.85 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 15.73 ระบุว่า เห็นด้วยมาก และร้อยละ 8.01 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 29.24 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่ค่อยเป็นไปได้ ร้อยละ 12.82 ระบุว่า เป็นไปได้มาก และร้อยละ 3.82 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.55 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 18.01 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.74 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.71 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
จากตัวเลขที่สะท้อนออกมาดังกล่าวมันทำให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ยัง “ไม่ได้ผล” หรืออาจเรียกว่า “เหนื่อยเปล่า” นั่นแหละ เพราะเมื่อดูตามเปอร์เซ็นต์ที่กว่าร้อยละ 40 ไม่ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย ขณะที่กว่า ร้อยละ 33 ส่งผลกระทบในทางลบ ต่อคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงยังไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคเพื่อไทยเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง
ขณะเดียวกัน ที่น่าสนใจก็คือ ถามว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่ คำตอบก็คือ เกือบร้อยละ 33 บอกว่าเป็นไปไม่ได้เลย และตามมาด้วย ค่อนข้างเป็นไปได้ และไม่ค่อยเป็นไปได้ เป็นต้น เรียกว่าผลที่ออกมาไม่เป็นในทางบวกเลย
และเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจที่สะท้อนผ่านผู้ตอบคำถามที่ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกรุงเทพฯ ภาคตะวันออก ตามลำดับ
หากจะประเมินจากผลสำรวจดังกล่าวที่ออกมา ก็น่าจะเป็นเพราะสถถานการณ์และยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเทียบกับยุครุ่งเรืองของนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน จากพฤติกรรมของพวกเขาที่ทำให้กลุ่มมวลชนที่เคยสนับสนุนมีความแตกแยก และแยกย้ายไปสนับสนุนหลายพรรคการเมือง บางคนถึงกับกล่าวหาว่า ถูก“หักหลัง” ถูกทอดทิ้งแบบไม่ใยดี
อย่างไรก็ดีหากให้สรุปตบท้าย ส่วนสำคัญที่สุดก็น่าจะมาจากความเคลื่อนไหวล่าสุดของเขาออกมาในลักษณะเป็น “อภิสิทธิ์ชน” จากพฤติกรรมนักโทษเทวดา ที่ถูกมองว่า “โกงแม้กระทั่งการติดคุก”
แน่นอนว่า สำหรับตัวเขาอาจสำคัญตัวผิด ว่าการทำแบบนี้ได้ทำให้ “เหนือกว่า” คนอื่น เพราะแม้แต่กระบวนการยุติธรรมยังทำอะไรไม่ได้ แต่เชื่อหรือไม่ภาพลักษณ์ที่ออกมาทางสังคม ล้วนออกมาในทางลบมากกว่าผลบวกแน่นอน ประกอบกับการจัดตั้งรัฐบาล “ข้ามขั้ว” ซึ่งหากมองในอีกมุมหนึ่งแล้ว นายทักษิณ อาจ“ถูกวางยา” ก็เป็นได้เพราะเป็นภาพ “ทรยศหักหลัง” ที่ไม่มีทางสลัดหลุด แม้ว่าจะสามารถเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แต่ในสายตาของผู้สนับสนุนแล้ว มันได้คุ้มเสียหรือเปล่า
หากผลสะท้อนของผลสำรวจที่สะท้อนออกมาล่าสุดอย่างที่เห็น มันก็อาจมองเห็นแนวโน้มได้ดีว่า พรรคเพื่อไทยจะกลับมายากแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ความนิยมของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และเป็นทายาทสายตรงของนายทักษิณ ชินวัตร หมายปั้นให้เป็นนายกฯคนต่อไป แต่ผลสำรวจกลับไม่ปัง คะแนนตามหลังแบบถูกทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากผลสำรวจที่เห็นในตอนนี้มันเหมือนกับการมองเห็นแนวโน้มอนาคตได้ดีทีเดียว ขณะเดียวกันแม้ว่าต้องมองกันยาวๆ แต่เมื่อเห็นอาการแล้วก็ต้องบอกว่าเหนื่อย ยิ่งพิจารณาจากผลงานของรัฐบาลรวมไปถึงนโยบายต่างๆ ที่รับปากว่าจะทำทันที แต่หลายอย่างยังไม่ออกมา ไม่เห็นผล มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ขณะที่หวังพึ่งพา นายทักษิณ ก็เหมือนกับว่ากำลัง “แบกหลังแอ่น” ไม่เวิร์ก” เหมือนเดิมอีกแล้ว !!