เป็นเวลากว่า 5 ปี ที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอเสื่อบ้านโพธ์ทอง ตำบลโนนสมบูรณ์ จังหวัดบึงกาฬ หรือ กลุ่ม ก.กก บึงกาฬ สามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของคนในชุมชน และพร้อมเป็น Change Agent สร้างคน สร้างงาน ให้คนในชุมชนและขยายไปสู่วงกว้าง ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีแกนนำหลักอย่าง นางรัศมี อืดผา ครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียน สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ ที่ลุกขึ้นมาชวนคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงความคิด มองเห็นคุณค่าทรัพยากรดี ๆ ในชุมชนอย่าง “กกและผือ” มาต่อยอดจนเกิดเป็นคุณค่าและมูลค่าเพิ่ม ที่สามารถสร้างทั้งรายได้ สานทั้งใจ ทั้งความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว และคนในชุมชนไว้ด้วยกัน โดยมีกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ช่วยหนุนเสริมวิธีคิดและเครื่องมือการทำงาน
วันนี้ กลุ่ม ก.กก บึงกาฬ ได้เดินทางมาถึงการเป็น “ชุมชนตัวแบบ” ที่สามารถออกแบบการเรียนรู้ได้อย่างยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิต และตรงใจคนในชุมชนเท่านั้น พวกเขายังร่วมกันสร้างคนให้กลายเป็นทั้งปราชญ์ แกนนำชุมชน และที่สำคัญคือ เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้กระบวนการผลิตกกและผือตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการปลูก การย้อม การสาน และการแปรรูป ให้กับคนในและนอกชุมชนทุกช่วงวัย รวมถึงเกิดการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ก.กก บึงกาฬ ขึ้นในตำบลโนนสมบูรณ์ โดยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา กลุ่ม ก.กก บึงกาฬ ร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ จัดเวที “สานพลังพื้นที่…ร่วมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้สู่ความเสมอภาคทางการศึกษา” เพื่อให้ภาคีเครือข่ายทั้งในและนอกพื้นที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานระหว่างกัน
ทั้งนี้ภายในงานได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการบริหาร และประธานอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ กสศ. และผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในและนอกพื้นที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้เห็น “โมเดลต้นแบบ” การทำงานกับคนทุกกลุ่มและทุกช่วงวัย โดยนัยยะสำคัญของเวทีนี้คือ “การพัฒนาคนแม้เพียง 1 คน หากเขาได้รับการพัฒนาที่ดีเขาจะกลายเป็นตัวคูณสำคัญให้พื้นที่สามารถขับเคลื่อนงานต่อไปได้ด้วยตนเอง” เฉกเช่นกับกลุ่ม ก.กก บึงกาฬ ที่แม้วันนี้จะไม่รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กสศ. แล้ว แต่รากฐานที่ กสศ. และคณะทำงานในพื้นที่ได้ร่วมกันสร้างอย่าง “รุกถึงที่ ลุยถึงถิ่น” ไว้ตั้งแต่ต้นน้ำ ได้ก่อให้เกิดความงอกงามที่ปลายน้ำ ด้วยการสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนนั่นเองและเนื่องจากต้องการส่งต่อโอกาสให้กับผู้อื่น นางรัศมีจึงได้มองหาโอกาสในการสร้างคนและพัฒนาชุมชนอยู่ตลอดเวลา เมื่อมูลนิธิเอสซีจี และ กสศ. ร่วมมือกันจัดทำโครงการพัฒนาตัวแบบกองทุนเพื่อพัฒนาอาชีพที่เชื่อมโยงกับโอกาสทางการศึกษาของเยาวชนและแรงงานนอกระบบ จึงสนใจเข้าร่วมเพราะต้องการขยายผลแนวคิดการทำงานจากฐานทุนความรู้ของชุมชนไปสู่กลุ่มอาชีพอื่น ๆ เพื่อให้คนในชุมชนมีโอกาส มีทางเลือกในการประกอบอาชีพเพิ่มขึ้น และผลจากการเข้าร่วมโครงการทำให้วันนี้ กลุ่ม ก.กก บึงกาฬ มีการจัดตั้งกองทุน
“ก.กกบึงกาฬ สานสัมพันธ์ชุมชน” ขึ้นเป็นผลสำเร็จ
นางรัศมี กล่าวว่า เป้าหมายของการจัดตั้งกองทุน “ก.กกบึงกาฬ สานสัมพันธ์ชุมชน” ของที่นี่จะแตกต่างจากกองทุนอื่น ๆ โดยเธอได้ชวนทั้งตำบลมาถอดบทเรียนการทำงานกองทุนร่วมกัน เพื่อหาจุดเด่นและข้อควรแก้ไขมาพัฒนาให้กองทุนนี้มีความแตกต่างโดยเน้นไปที่การสร้างเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการประกอบอาชีพทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยวที่ผู้ด้อยโอกาสในชุมชนสนใจโดยใช้ต้นแบบของ ก.กก บึงกาฬ เป็นฐาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และที่สำคัญต้องเกิดการส่งต่อและสืบทอดภูมิปัญญา
โดยระหว่างการกู้ยืมทุนไปประกอบอาชีพก็จะมีทีมงานคอยช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้กู้ให้อยู่เสมอเพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ตามที่นายประเวช เหล่าประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดบึงกาฬ กล่าวไว้ คือการทำให้ประชาชนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีคุณภาพชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข สมบูรณ์ทั้งกาย ใจ จิตวิญญาณ และมีคุณธรรม เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ และจากสโลแกนของจังหวัดบึงกาฬ “สร้างคน สร้างเมือง สร้างรายได้” จึงต้องทำให้ประชาชนสามารถเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่กับท้องถิ่นให้ได้ มีรายได้ มีอาชีพ มีงานทำ และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องทิ้งถิ่นฐาน เรียนแล้วไม่ต้องทิ้งบ้าน ทิ้งลูก ทิ้งหลานไปทำงานที่อื่น เนื่องจากการเรียนในปัจจุบันยังไม่ตอบโจทย์ในวิถีชีวิตของคนในชุมชน แต่วันนี้ได้กลับคืนมาย้อนมองในส่วนของการพัฒนาคุณภาพชีวิตในพื้นที่โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ยึดพื้นที่ชุมชนเป็นหลัก “ เริ่มจากต้นทุนที่มี อย่าไปมองสิ่งที่ขาด แล้วช่วยกันทั้งเครือข่าย”
ทั้งนี้ เงินทุนหมุนเวียนได้รับการสนับสนุนจากทั้งมูลนิธิเอสซีจี ผู้ใหญ่ใจดี และกลุ่มสมาชิก ซึ่งในช่วงแรกของการสำรวจกลุ่มผู้ด้อยโอกาส จะมีเวทีการคัดเลือก “รุกถึงที่ ลุยถึงถิ่น ลงไปถึงหมู่บ้าน หาคนที่พร้อมจะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ โดยใช้กองทุนนี้เป็นสื่อกลางในการพัฒนาตนเองและสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต” และสิ่งสำคัญคือต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง หนุนเสริม ให้กำลังใจให้เขามีความสุข เพราะถ้าคนเรามีความสุข ก็จะเกิดการเรียนรู้ได้ดีและต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันนางรัศมี วางแผนว่าจะทำให้กองทุนนี้เติบโตขึ้นเพื่อไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสให้ได้มากยิ่งขึ้น
และในอนาคต ร.ต.พูนศักดิ์ พระรัตภูมี ศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬ ก็ได้วางแผนเตรียมคนให้พร้อมเพื่อที่จะรองรับโอกาสในวันข้างหน้า ตามสโลแกนของจังหวัดที่ให้ความสำคัญกับการ “สร้างเมือง สร้างคน สร้างรายได้” เพราะเมื่อเมืองมีความพร้อม คนมีความพร้อม รายได้ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันจังหวัดบึงกาฬได้รับโอกาสจาก กสศ. ให้เป็นจังหวัดนำร่องเพื่อ Set Zero เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาทั้งหมดกว่า 4,700 คน ในจังหวัด โดยได้มีการ MOU ร่วมกับ กสศ. เพื่อที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามแนวคิดของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดว่า “เด็กบึงกาฬทุกคนต้องได้เรียนและพัฒนา” จึงกำลังดำเนินการเรื่องบึงกาฬโมเดลเพื่อทำให้เกิด Zero Dropout โดยใช้ตำบลเป็นฐาน เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน รวมถึงผู้ปกครอง รู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง และเพื่อส่งเสริม สนับสนุน ให้เด็กและเยาวชนก้าวไปสู่เป้าหมายของตัวเองให้ได้ โดยบึงกาฬโมเดลที่ร่วมมือกับ กสศ. นั้นจะขยายผลให้ครบทั้ง 52 ตำบล ในปี 2568
ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการบริหาร และประธานอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรแรงงานนอกระบบ กสศ. กล่าวทิ้งท้ายว่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ทำให้เห็นรูปธรรมว่าชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ หากทุกคนในชุมชนตื่นตัว ซึ่ง ก.กก บึงกาฬ จะเป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่างองค์ความรู้ ให้ชุมชนอื่น ๆ ตื่นตัวและเดินตามได้ และผมเชื่อว่าหน่วยจัดการเรียนรู้ในพื้นที่เช่นนี้จะเป็นคานงัดสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศได้