xs
xsm
sm
md
lg

ก้าวไกลรู้ชะตากรรม แต่ดิ้นสุดชีวิตก่อนร่วง!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ชัยธวัช ตุลาธน - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เมืองไทย 360 องศา

ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติขยายเวลาให้พรรคก้าวไกลส่งคำ ชี้แจงจากคำร้องให้ยุบพรรคให้เพียงแค่15 วัน จากยื่นคำ ขอไป 30 วัน โดยจะครบกำ หนดในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้

มีข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญแจ้งว่า กรณีคำ ร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยสั่งยุบพรรคก้าวไกล ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 (1)(2) เนื่องจากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเข้าลักษณะการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และขอให้เพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จดทะเบียนขึ้นใหม่ด้วยเป็นระยะเวลา10 ปี

พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องได้ยื่นคำ ร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญออกไปอีก 30 วัน ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นควรให้ขยาย ระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันที่ 18เมษายน 2567ซึ่งจะครบกำ หนดยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567

มีรายงานว่า การยื่นขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของพรรคก้าวไกลในครั้งนี้เป็นการยื่นขอขยายครั้งที่1 หลังจากเมื่อวันที่3เมษายน2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องดังกล่าวของกกต.ไว้พิจารณาวินิจฉัยตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีการการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญปี2561 มาตรา 7 (13)ศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบมาตรา 92 วรรคหนึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง2560 และจะแจ้งนายทะเบียนพรรคการเมืองทราบ พร้อมส่งสำ เนาคำร้องให้กับพรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันได้รับสำ เนาคำร้อง

อย่างไรก็ดีเมื่อสำ รวจท่าทีของบรรดาแกนนำ พรรคก้าวไกล ทั้งนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค กล่าวในทำ นองเดียวกัน ในลักษณะที่ต้องต่อสู้เตรียมคำชี้แจงและข้อกฎหมายอย่างเต็มที่ และเชื่อว่าหากมีการยุบพรรคก้าวไกลจริง ก็จะยิ่งทำ ให้พรรคยิ่งเติบโตมากขึ้นไปอีก หรือที่เรียกว่า “ติดเทอร์โบ” นั่นเอง

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 เมษายน นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ย้ำว่า เราพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์

ส่วนคำ พูดที่ว่า “ยิ่งยุบยิ่งโต” หากเกิดอะไรขึ้นกับพรรค จะเป็นโอกาสให้กับพรรคหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า การเติบโตของพรรคก้าวไกล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไม่ยุบ หรือยุบพรรค แต่ขึ้นอยู่กับแนวทางการทำ งาน รวมถึงนโยบายที่จะสามารถตอบโจทย์กับพี่น้องประชาชน ได้หรือไม่ คงไม่มีใครหวังว่าตัวเองจะถูกยุบเพื่อให้เติบโตขึ้น เรายังเชื่อมั่นว่า ถ้าพรรคสามารถฝ่าฟันอุปสรรคตรงนี้ไปได้เรายิ่งเติบโต ก็ยิ่งเข้มแข็ง

ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้อภิปรายในสภาเหมือนกับเป็นการอำ ลาและบอกว่าอาจเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้าย ได้ตอบคำ ถามว่า เขาทำงานที่อยู่กับปัจจุบัน แล้วก็ทำ หน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด อย่างที่บอก เราเสียดายศรัทธาประชาชน เสียดายโอกาสของประเทศ ที่จริงๆ แล้วสามารถทำ ได้เยอะมาก กับ 7 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงเสนอแนะว่า ถึงเวลาที่ควรปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อเอาคนที่ไม่มีประสิทธิภาพออก และนำ คนที่มีประสิทธิภาพเข้า เพื่อให้สมรรถภาพของรัฐบาล ตามความท้าทายของประเทศได้ทัน ในส่วนของเรา ก็ทำ หน้าที่อย่างเต็มที่ รวมถึงสู้คดีอย่างเต็มที่ครั้งนี้โทษหนักกว่าคราวที่แล้วเยอะ โทษคราวที่แล้วมีเอาไว้แค่ปรามป้องกันเรายังมีสิทธิไต่สวน แต่คราวนี้ถึงขั้นยุบพรรค ประหารชีวิตทางการเมือง ก็ควรให้สิทธิขยายอย่างละเอียด เราจะได้สู้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีข้อครหา

ส่วนที่มีการมองว่าคำ วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำ ลาย ซึ่งเป็นสารตั้งต้น ในการยุบพรรคนั้น นายพิธา ระบุว่า กฎหมายมีหลายมาตรา เพราะฉะนั้นต้องดูกฎหมายมาตรานั้น มีเจตนารมณ์อย่างไร มีไว้ป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำ ก็สัดส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นอันที่จะต้องถึงประหารทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำ ลายพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่งมันกระทบกับประชาธิปไตยทั้งหมด ฉะนั้น แค่มีคำวินิจฉัยแบบเดิมมา ก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำ หนักโทษเท่ากัน ในส่วนของเรา เรายังมีเวลาในการทำ คำชี้แจงทางกฎหมายไป

“เรากลับมาสู้กันในระบบดีกว่า เพราะทุกการกระทำ มีผลลัพธ์ของการกระทำ ผมก็ยังไม่รู้ว่า คนที่มีอำ นาจจะยุบพรรค ถามตัวเองหรือยังว่า ยุบแล้วได้อะไรขึ้นมา ในระยะสั้นนั้นอาจทำ ให้พวกผมอ่อนแอลงแต่อย่าลืมว่ามันคือการติดเทอร์โบ ให้กับพวกผมเหมือนกัน ซึ่งจะทำ ให้ได้แต้มต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า”

แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาคความผิด และข้อกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีมติเอกฉันท์ว่า มีพฤติกรรมเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังมีพฤติกรรมบ่อนเซาะ ทำ ลายสถาบันฯ ซึ่งทุกอย่างมันก็ชัดอยู่ในตัวเองแล้วว่า “เข้าข่าย” หรือหากกล่าวแบบตรงไปตรงมาก็คือ “ต้องยุบพรรค” นั่นเอง เพียงแต่ว่าคราวนี้ผู้ร้องไม่ได้ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคเท่านั้น แต่เป็นการร้องให้วินิจฉัยว่า พฤติกรรมนั้นเข้าข่ายที่ว่าหรือไม่ เท่านั้นเอง

ดังนั้น มันก็เหมือนกับเป็นเรื่องอัตโนมัติที่หลังจากนั้นทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล และให้ตัดสิทธิ์ทางการเมืองคณะกรรมการบริหารพรรค เป็นเวลา 10 ปีตามมา อีกทั้งเมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้แล้ว ก็ต้องบอกว่า “รอดยาก”จริงๆ เพราะทุกอย่างมันเหมือนกับต้องเป็นไปแบบนี้โดยอัตโนมัติตามกฎหมายที่กำ หนดเอาไว้แบบนั้น ส่วนที่มีความเห็นของหลายฝ่ายที่เห็นว่าไม่ควรยุบพรรคการเมือง หากเห็นว่าคนมีความผิด ก็ให้ลงโทษคนนั้น เป็นต้น แต่ตราบใดที่กฎหมายกำ หนดเอาไว้ก็ต้องเดินแบบนั้น ยกเว้นมีการแก้กฎหมาย

อย่างที่บอกว่า เวลานี้สำ หรับพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะบรรดาแกนนำพรรค รวมไปถึงผู้ที่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ที่กลายสภาพมาเป็นพรรคก้าวไกลในวันนี้อย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เคยกล่าวแบบรับรู้ชะตากรรมมาล่วงหน้าแล้วว่า “ยุบแน่” และเรียกร้องให้ย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ ที่เตรียมไว้รองรับแล้ว

ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาทำ ได้ก็คือ “สร้างกระแส” ทั้งกดดัน ทั้งปลุกระดม ให้เกิดแรงกระเพื่อมให้มากที่สุด โดยเฉพาะการสร้างวาทกรรม “ยิ่งยุบ ยิ่งโต” หรือ“ตายสิบเกิดแสน”และล่าสุด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ที่กล่าวว่า ยุบพรรคก้าวไกลเหมือนกับการ “ติดเทอร์โบ”

อย่างไรก็ดีก็มีหลายคนที่เห็นเป็นตรงกันข้าม ทำ นองว่า “ยิ่งยุบ ยิ่งหด”เพราะพรรคนี้กลายเป็นพรรคล้มเจ้า ที่สวนทางกับความรู้สึกของชาวบ้านส่วน ใหญ่อีกทั้งหากยุบพรรคก้าวไกล ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารซึ่งเป็น “แถวสอง”เกือบเหี้ยน ขณะที่ “แถวสาม” ยังอ่อนประสบการณ์มากนัก หลายคนยังหน้าใหม่ ไม่โดดเด่น เพราะขนาดแกนนำ ยุคปัจจุบัน ยังไม่เคยทันเกมในสภาดังนั้น เด็กรุ่นใหม่จะไปเหลืออะไร

แต่ถึงอย่างไร อีกไม่นานก็จะได้พิสูจน์กันเสียทีว่า “ยิ่งยุบ ยิ่งโต” หรือว่า “ยิ่งยุบ ยิ่งหด” หรือเปล่า !!.


กำลังโหลดความคิดเห็น