เมืองไทย 360 องศา
เดินหน้าเต็มตัวสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกมองว่าเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง เวลานี้ถือว่า“ไม่แคร์”ใครทั้งสิ้น เพราะหากมองกันแบบเข้าใจก็ต้องบอกว่า “เลือดกำลังเข้าตา” ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน และที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่า เฉพาะตัวเขานั้น “รอดแล้ว”
เพราะหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ ระหว่างทำศึกพวกเขากำลังเพลี่ยงพล้ำแบบไม่คาดคิด จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่ต้องพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก และแพ้แบบหมดรูปให้พรรคก้าวไกล ซึ่งก็จะว่าไปแล้วเหมือนกับ “โตมาในบ้าน” ของพวกเองด้วยซ้ำไป และผลจากความพ่ายแพ้คราวนั้น มันก็อาจเป็นตัวเร่งให้เขาต้องตัดสินใจกลับบ้านก็เป็นได้
ประกอบกับด้วยเงื่อนไขที่เปิดทางจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มองเห็นว่าพรรคก้าวไกลเป็น “ภัยเฉพาะหน้า” ที่ต้องสกัดกั้น จนทำให้เกิดข่าว“ดีลลับ” และ “ข้ามขั้ว” กันในที่สุด
ขณะเดียวกันหากโฟกัสกันเฉพาะจุด มองผ่านเรื่องอื่นไปก่อน ที่กลายเป็นแรงผลักดันให้ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องออกมาเคลื่อนไหวเต็มตัวแบบนี้ หากมองกันแบบไม่ซับซ้อนก็ต้องเข้าใจทันทีว่า นาทีนี้เหมือนกับว่า เขากำลังเค้นทุกอย่างเท่าที่มี หรือที่เคยมีเพื่อระดมสรรพกำลังเพื่อให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นเบอร์หนึ่ง เป้าหมายเพื่อกลับมายึดกุมทุกอย่างในมือแบบเบ็ดเสร็จอีกครั้ง
แต่ทุกอย่างมันไม่ง่าย เพราะสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง เพราะเขาไม่ใช่คนกำหนดเกมได้เหมือนเดิม แน่นอนว่า สำหรับพรรคเพื่อไทยยังสามารถชี้นิ้วได้ สั่งซ้ายหันขวาหันได้ แต่ก็ยังมีปัจจัยภายนอกมากมายที่เวลานี้หลุดมือออกไปไกลแล้ว
สิ่งแรกที่กลายเป็นศึกหนักและเอาชนะยาก นั่นคือพรรคก้าวไกล ที่จนถึงเวลานี้ก็ยังได้รับความนิยม โดยเฉพาะจากคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงบรรดาผู้สนับสนุนที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และครอบครัว “ชินวัตร”มาก่อน เวลานี้แตกตัวย้ายข้างจำนวนมาก และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พ่ายแพ้เลือกตั้งทั่วประเทศ
หากวิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีก สาเหตุสำคัญที่ทำให้พ่ายแพ้และนำไปสู่ความเสื่อมถอยครั้งใหญ่ล้วนมาจากท่าทีและพฤติกรรมของนายทักษิณ นั่นแหละ ขณะที่พรรคก้าวไกลแค่ประกาศว่า “มีเราไม่มีลุง” เสียงของเพื่อไทย ก็เทไปอีกฝั่งแล้ว และเมื่อ “ข้ามขั้ว” มันก็ยิ่งไปกันใหญ่
อีกทั้งการไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว เหมือนกับเลือกวิธีการ “ล้าหลัง โบราณ” กลายเป็น “อภิสิทธิ์ชน” ทำตัวเหนือคนอื่น จนกลายเป็นเรื่อง “น่ารังเกียจ” ของหลายคนในสังคม ไม่เว้นแม้แต่คนรุ่นใหญ่ ที่ชูเรื่องคนเท่ากัน ดังนั้นการปรากฏตัวของ นายทักษิณ อีกมุมหนึ่งก็เหมือนการเยาะเย้ย ท้าทายสังคม
ในทางตรงกันข้าม หากเขายอมติดคุกยอมเข้าไปอยู่ในเรือนจำ แน่นอนว่าด้วยสถานะพิเศษของเขาย่อมต้องอยู่แบบ “เทวดา”อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าภาพในทางสังคมมันได้ และจะกลายเป็นวีรบุรุษ ความนิยมก็จะได้ใจทุกกลุ่ม แต่ทักษิณ ก็คือทักษิณ ซึ่งคราวนี้เหมือนกับว่า “เปลือยกายล่อนจ้อน” กลางตลาด
เมื่อวกกลับมาที่ความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้ เหมือนกับจงใจให้เห็นว่า เขากำลังกลับมาบัญชาการเกมเต็มตัว กลับมามีบทบาทสั่งการในพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อย่างเต็มที่ การขึ้นเหนือกลับไปที่จังหวัดเชียงใหม่บ้านเกิด ทั้งก่อนหน้านี้ และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มันย่อมมีคำตอบในตัวเองแล้วว่าต้องการตอกย้ำให้ทุกคนได้เห็นว่า “กลับมาแล้ว” และที่เลือกเชียงใหม่มันก็เหมือนกับการ “ปลุกขวัญ” ให้มวลชนได้หวนกลับมาอีกครั้ง
การออกไปพบปะมวลชน ร่วมสาดน้ำสงกรานต์กับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องการเมือง รวมไปถึงการมีส.ส.และรัฐมนตรีตบเท้าเข้าพบกันเต็มพรืด พร้อมๆ กับข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ในพรรคเพื่อไทย
เมื่อค่ำวันที่ 14 เมษายน ที่ร้านอาหารเลอค็อกดอร์ จ.เชียงใหม่ นายทักษิณ รับประทานอาหารร่วมกับรัฐมนตรีแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) และ สส.ของพรรค โดยมีนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางมาถึงเป็นคนแรก จากนั้นรัฐมนตรีพรรคพท. ต่างทยอยเดินทางมาถึง ประกอบด้วย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายไชยา พรหมมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
สำหรับรัฐมนตรีสัดส่วนพรรค พท. ที่ไม่ได้มาร่วมงานวันนี้ เนื่องจากติดภารกิจ มี 4 คน ประกอบด้วย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ส่วนแกนนำพรรคและ สส.ที่เดินทางมา อาทิ นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานวิปรัฐบาล น.ส.ศรีโสภา โกฏคำลือ สส.เชียงใหม่ รวมถึงนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายไพโรจน์ โรจน์สุนทร สส.ลำปาง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ เป็นที่น่าสังเกตว่า บรรดารัฐมนตรี และส.ส.ที่เข้าร่วม ล้วนมีข่าวว่าถูกปรับออก และปรับเข้า มากันอย่างพร้อมเพรียง
เรียกว่า นายทักษิณ นอกจากจะถูกมองว่าเป็น “เจ้าของ” พรรคเพื่อไทยแล้ว ยังเป็นคนบัญชาการรัฐบาลที่มีบารมีเหนือ นายกรัฐมนตรี คือเหนือกว่า นายเศรษฐา ทวีสิน อย่างชัดเจน ที่ในช่วงเวลาเดียวกัน นายเศรษฐา อยู่ที่หัวหิน อย่างโดดเดี่ยว
อย่างไรก็ดี หากมองกันในมุมการเมืองให้ชัดเจน ก็จะเห็นภาพ “เดอะแบก” ของนายทักษิณ ชินวัตร อย่างชัดเจน แต่กลายเป็นว่า “แบกหลังแอ่น”อยู่ในเวลานี้ เนื่องผลงานของรัฐบาลยังไม่เข้าเป้า หรือแม้แต่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวที่ตัวเองโปรโมตเข้ามาก็ยังไม่ปังอย่างที่คาด เมื่อเทียบกับพรรคคู่แข่งอย่างพรรคก้าวไกล หรือแม้แต่เทียบกับ นายเศรษฐา ก็ยังห่างหลายขุม
ดังนั้น มันก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่มีทางเลือกต้องลงมา “เล่นเอง” ทุกอย่าง ต้องเปิดหน้าชนด้วยตัวเองแบบไม่มีเม้มกันอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการ “ปลุกขวัญมวลชน” การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ของพรรคเพื่อไทย แต่ก็อย่างว่า ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนเดิม สุดท้ายก็เสี่ยง “หลังหัก” ได้เหมือนกัน เพราะจะว่าไปแล้วเป็นผลมาจากผลการกระทำตัวเองทั้งสิ้น !!