วันนี้(11 เม.ย.)นายนิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อกรณีการตรวจพบสารแคดเมียมที่ถูกเคลื่อนย้ายและซุกซ่อนหลายจุดทั่วประเทศ ตั้งแต่ที่ จ.สมุทรสาคร มาจนถึงกรณีล่าสุดในกรณีที่เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร เมื่อวานนี้ว่า กรณีดังกล่าวนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสารพิษเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวประชาชนมากกว่าที่คิด จากเหตุตรวจพบที่เขตบางซื่อเมื่อวานนี้ทำให้เห็นแล้วว่าการดำรงอยู่ของสารพิษไม่ได้มีขอบเขตอยู่เพียงแค่รอบพื้นที่อุตสาหกรรมเท่านั้น แต่อาจจะอยู่ได้ถึงใจกลางชุมชนที่ประชาชนอาศัยอยู่ด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่ากรณีแคดเมียมที่เป็นข่าวต่อเนื่องมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเพียงกรณีเดียว แต่เป็นเพียงกรณีที่เรื่องแดงจนเป็นข่าวออกมา เชื่อได้เลยว่ายังมีกรณีของสารแคดเมียมหรือกระทั่งสารพิษประเภทอื่นอีกมากมายที่ถูกจัดเก็บ ซุกซ่อน และมีการขนย้ายอย่างไม่ถูกต้องในลักษณะเดียวกันอีกเป็นจำนวนมาก
นายนิติพล กล่าวต่อไปว่า นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมาการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ภาครัฐขาดแคลนเครื่องมือสำคัญ คือการบังคับให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต้องจดแจ้งและลงทะเบียนประเภทและปริมาณของสารพิษที่ใช้ในกิจการของตนแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อหน่วยงานรัฐไม่ทราบว่าใครมีสารพิษใดอยู่ในมือเท่าไหร่บ้าง ก็ย่อมทำได้แต่เพียงมาตรการที่เป็นการตามเก็บกวาดอย่างที่เห็นกันในหน้าข่าววันนี้
“การที่แคดเมียมมาโผล่อยู่ใจกลางชุมชนได้แบบนี้ผมเชื่อว่าไม่ใช่กรณีเดียวแน่ๆ อย่าว่าแต่แคดเมียมเลย ผมคิดว่าสารพิษตัวอื่นที่ใช้ในอุตสาหกรรมก็เช่นกัน ผมเชื่อว่ายังมีซุกซ่อนอยู่ในอีกหลายพื้นที่ เพียงแต่เรื่องยังไม่แดงขึ้นมาแค่นั้นเอง” นายนิติพลกล่าว
นายนิติพล ยังกล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ประกอบกับเหตุการณ์โรงงานและโกดังระเบิดหรือเกิดสารเคมีรั่วไหลที่เกิดขึ้นในหน้าข่าวอยู่ทุกปีนั้น ยิ่งเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการมีกฎหมายที่จะบังคับให้ผู้ประกอบการต้องจดแจ้งและลงทะเบียนการจัดเก็บและเคลื่อนย้ายสารพิษ หรือ PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) ซึ่งพรรคก้าวไกลได้เคยเสนอไปตั้งแต่สภาสมัยที่แล้ว แต่ถูกนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจจากการตีความเป็นร่างฯ การเงิน ปัดตกกฎหมายไปเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลได้ยื่นร่างกฎหมายดังกล่าวนี้ไปอีกครั้งแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อนนี้ และกำลังอยู่ระหว่างรอการบรรจุ โดยคงเนื้อหาเดิมเอาไว้ทุกประการ อีกทั้งยังมีภาคประชาสังคมที่ยื่นร่างกฎหมายที่มีลักษณะเดียวกันเข้ามาด้วย ตนจึงหวังว่าสภาชุดนี้จะเร่งให้มีการพิจารณาและผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวออกมาโดยเร็ว
นายนิติพล กล่าวต่อไปว่า ระหว่างที่กำลังรอร่างกฎหมายดังกล่าวให้เข้าสู่การพิจารณา สิ่งที่รัฐบาลควรต้องทำทันทีคือการที่กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งดำเนินการทางนโยบายเพื่อตรวจสอบผู้ประกอบการทุกรายที่ประกอบการโดยมีการกักเก็บและมีการเคลื่อนย้ายสารพิษที่เป็นอันตรายต่อประชาชน
“สิ่งที่รัฐบาลประยุทธ์ทำในการปัดตกร่างกฎหมาย PRTR คือส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐไร้เครื่องมือในการตรวจสอบนายทุน จนเกิดเหตุซ้ำแล้วซ้ำอีกมาตั้งแต่วันนั้น ทั้งๆ ที่มันควรจะป้องกันได้ตั้งแต่วันนั้นถ้าเราได้ผ่านกฎหมายนี้และมอบเครื่องมือให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ ผมหวังว่าผู้มีอำนาจในเสียงข้างมากจะเห็นได้สักทีถึงความสำคัญของการมีกฎหมายนี้ อย่าเดินซ้ำรอยรัฐบาลประยุทธ์ที่เห็นแก่นายทุนมาก่อนประชาชนอีกเลยครับ” นายนิติพล กล่าว