เมืองไทย 360 องศา
การอภิปรายก่อนปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่มองว่าเป็นการ “อำลา” เป็นครั้งสุดท้าย ทั้งในตำแหน่งส.ส.และในฐานะพรรคการเมือง และถูกมองว่าเป็นการพูดเหมือนกับรู้ชะตากรรมตัว และพรรคว่ามีแนวโน้มสูงมากที่สุดที่จะถูกยุบพรรค ขณะเดียวกันในคำพูดดังกล่าวยังเหมือนกับเป็นการ "ทิ้งบอมบ์" เข้าใส่ศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังพิจารณาคำร้องยุบพรรคอีกด้วย
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสัปดาห์ก่อน ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปรัฐบาลแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายปิดเป็นคนสุดท้ายว่า ตนขอเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความในใจเล็กน้อย ว่า ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา ตนไม่เคยเสียใจเลยที่ไม่ได้เป็นพวกที่ได้บริหาร ถึงแม้ตนจะชนะเลือกตั้ง สามารถรวบรวมเสียงได้ 312 เสียง ก็ไม่ได้น้อยไปกว่า 314 เสียงที่ท่านมี ไม่เคยเสียใจด้วยที่มาเป็นฝ่ายค้าน เพราะเชื่อว่าเป็นฝ่ายค้านนั้น มีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย การเป็นฝ่ายค้านก็สามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้ สุขภาพของประชาธิปไตยไม่ได้วัดอยู่ที่รัฐบาลนั้น มีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหน แต่อยู่ที่ฝ่ายค้านแทน Active แค่ไหน
“ผมไม่เคยเสียใจด้วยว่าการอภิปรายในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของผม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องความลับอะไร ทุกคนทราบดีอยู่ว่าชีวิตทางการเมืองของผมตอนนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ผมพร้อมที่จะเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่ได้มีอะไรติดค้างใจต่อไป อย่างที่ได้เห็นเพื่อนส.ส.ข้างๆ ผม อยู่รอบตัวผม ก็รู้สึกเบาใจ ไม่ได้ค้างคาใจอีกต่อไป และผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคของผม การยุบพรรคไม่ได้ทำให้การเดินทางของประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ยิ่งยุบ ยิ่งทำให้เราไปถึงเส้นชัยได้เร็วมากขึ้นด้วยซ้ำไป ถึงผมจะไม่เสียใจ แต่ผมเสียดาย จริงๆ รับฟังการชี้แจงของคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายโอกาสของประเทศไทย เสียดายเวลาที่ประเทศไทยต้องเสียไป เสียดายศรัทธาของพี่น้องประชาชน เสียดายคะแนนเสียงที่เคยให้ไป ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยโหวตพรรคอื่นนอกจากพรรคของท่าน แต่มาถึงวันนี้ ความสะเปะสะปะ ความล่องลอย ผมฟังแล้วไม่รู้ว่าวาระของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร ที่หาเสียงไว้ก็ไม่ได้ทำ … จนทำให้ผมรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้วาระ ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ผลงาน” นายพิธา กล่าวตอนหนึ่ง
จากนั้น นายพิธา กล่าวในเวลาต่อมาว่า จากการฟังความเห็นของทุกพรรคการเมือง ซึ่งต่างก็ไม่เห็นด้วยกับโทษยุบพรรค จึงฝากสื่อไปถามนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการยุบพรรคเพื่อทำลายล้างทางการเมือง ที่ผ่านมาแล้ว 20 ปี การยุบพรรคการเมือง หากเป็นครั้งนี้ก็ถือว่าครั้งที่ 4-5 แล้ว ซึ่งต้องดูว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของพรรคก้าวไกลพรรคเดียวแต่เป็นเรื่องของระบบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายกลับมาต่อสู้ในระบบ ชนะก็คือชนะ แพ้ก็คือแพ้ และส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าผู้ที่มีอำนาจในการยุบพรรค ได้ถามตัวเองหรือไม่ว่ายุบพรรคไปจะได้อะไร ซึ่งในระยะสั้นอาจจะทำให้พรรคที่ถูกยุบอ่อนแรงลง ทำให้ฝ่ายค้านอันดับหนึ่งอ่อนแอลง แต่ในระยะยาว ขณะเดียวกัน มันก็เป็นการติดเทอร์โบ ทำให้พรรคที่ถูกยุบได้แต้มต่อทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า
แม้ว่าในคำพูดดังกล่าว นายพิธา จะพยายามชี้ให้เห็นว่า เวลาของเขาในฐานะส.ส.และในชีวิตทางการเมืองเหลือน้อยเต็มทีแล้ว แต่ขณะเดียวกันในคำพูดนี้ยังเหมือนกับเป็นการสร้างแรงกดดันไปถึงศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังเริ่มพิจารณาคำร้องยุบพรรคก้าวไกลอยู่ในเวลานี้อีกด้วย โดยชี้ว่า ยิ่งยุบเหมือนกับว่าทำให้พรรคก้าวไกลยิ่งเติบโต
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ถูกมองว่าเป็นเจ้าของพรรคก้าวไกลตัวจริง ก็เคยยอมรับเช่นกันว่า พรรคก้าวไกลน่าจะถูกยุบพรรคแน่นอน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ สมาชิกพรรคย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ที่เตรียมไว้รองรับแล้ว
ในเวลานี้คำร้องยุบพรรคก้าวไกลที่เสนอโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อยู่ในขั้นพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว โดยก่อนหน้านั้นศาลรัฐธรรมนูญให้พรรคก้าวไกลส่งคำชี้แจงภายใน 15 วัน อย่างไรก็ดี จากท่าทีล่าสุดของผู้บริหารพรรคก้าวไกล และทีมกฎหมายกำลังขอขยายเวลาในการส่งคำชี้แจงออกไปอีก
แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาจากอารมณ์ และท่าทีของบรรดาแกนนำพรรคก้าวไกล ต่างก็ยอมรับอยู่ในทีแล้วว่า “โดนยุบแน่” แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่พวกเขากำลังดำเนินการก็คือ กำลัง “ปลุกเร้า” และสร้างกระแสจากสังคมให้กดดันศาลรัฐธรรมนูญ ทำนองว่า มีใบสั่งและตั้งธงยุบไว้ล่วงหน้า เป้าหมายก็คือ เพื่อสร้างแรงสนับสนุนให้กับพรรคในชื่อใหม่ให้เติบโตกว่าเดิม ทำนอง “ยิ่งยุบ ยิ่งโต”
อย่างไรก็ดี ก็มีเสียงโต้แย้งกลับมาเช่นกันว่า หากยุบพรรคก้าวไกลแล้ว “ไม่น่าจะโต” เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก หลังจากที่เวลานี้พรรคก้าวไกลกลายเป็น “พรรคล้มเจ้า” และผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุชัดว่า มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และยังบ่อนเซาะ กัดกร่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ มันก็ยิ่งทำให้เกิดการแยกแยะมวลชนที่เคยสนับสนุนออกมา ซึ่งมวลชนชุดนี้มีอยู่จำนวนมาก
ประกอบกับหากมีการยุบพรรค และมีการตัดสิทธิ์ทางการเมือง คณะกรรมการบริหารพรรค ทำให้บรรดา“แถวสอง แถวสาม” ที่จะขึ้นมาแทน ยังไม่มีความโดดเด่น หรือสร้างแรงดึงดูดได้มากพอ เมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน ที่ต้องยอมรับว่า มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นคนขับเคลื่อนสร้างกระแสได้ดี ดีจนเหนือกว่าหัวหน้าพรรคในปัจจุบัน คือนายชัยธวัช ตุลาธน เสียอีก
แม้ว่า ทีมผู้บริหารพรรคใหม่ อาจยังมีความโดดเด่นในเรื่องบุคลิก หน้าตา รวมไปถึงในเรื่องความรู้ ประเภทนักเรียนนอกฝั่งตะวันตก ที่ถูกจริตกับบรรดา “ด้อมส้ม” มาก่อน แต่ด้วยประสบการณ์และความเชื่อมั่น ก็ทำให้หลายคนต้องถอยฉากออกมา ประกอบกับที่ผ่านมา พฤติกรรมของส.ส.และสมาชิกพรรคหลายคนที่มักก่อเรื่องฉาว มีพฤติกรรมในทางลบอย่างต่อเนื่อง มันก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องซ้ำเติมเข้ามาอีก
อย่างไรก็ดี หากให้ประเมินกันตามสถานการณ์จริง ก็ยังเชื่อว่าหากมีการยุบพรรคก้าวไกลจริง และเตรียมพรรคใหม่มารองรับไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่คำถามก็คือ “ยิ่งยุบยิ่งโต” หรือไม่ คำตอบก็คือ “ไม่น่าจะใช่” แต่ก็ยังเชื่อว่า พรรคในชื่อใหม่ของพวกเขา ก็ยังคงเป็นพรรคใหญ่ เนื่องจากยังมีผู้สนับสนุนอีกไม่น้อยที่ยังเหนียวแน่น โดยเฉพาะพวกคนรุ่นใหม่ แต่อีกส่วนหนึ่งที่ถือว่าไม่น้อยเหมือนกันถอยฉากออกมา !!