“พ่อส้ม” หมดคำจะพูด หลังค่าฝุ่นเกินมาตรฐานเกือบ 50 วัน แต่รัฐบาลเพิ่งมาประกาศ ถามให้เขตภัยพิบัติบางส่วนในเชียงใหม่ แล้ว เชียงราย-ตาก ไม่มีฝุ่นหรือ บอกห่วงเด็ก ผู้สูงคนป่วย ส่วนคนเที่ยวอยู่ที่ดุลพินิจ
วันนี้ (9 เม.ย.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการประกาศพื้นที่ประสบสาธารณภัยและเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉินอัคคีภัยไฟป่า 5 อำเภอ จังหวัดเชียงใหม่ ว่า เป็นประกาศพื้นที่ภัยพิบัติบางส่วน เห็นใจ และเป็นกำลังใจผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ การประกาศพื้นที่ภัยพิบัติโดยไม่ตรงกับพื้นที่ที่มี PM 2.5 สูง ฝุ่นไม่ได้หยุดในเขตอำเภอ พร้อมถามว่าพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย และจังหวัดตากไม่อยู่ในหน้าสื่อก็ไม่บริหารจัดการหรืออย่างไร เดี๋ยวฝนก็จะมามันก็จะดีขึ้น แต่เราต้องการรัฐบาล ไม่ได้ต้องการแค่ฝน เพราะหลังฝนก็จะเกิดอะไรขึ้นอีก
ดังนั้น เมื่อเป็นพื้นที่ภัยพิบัติต้องมีเงื่อนไข ว่า พื้นที่ใดเป็นเขตภัยพิบัติ หรือไม่เป็นเขตภัยพิบัติ เพราะการประกาศพื้นที่ภัยพิบัติต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่า เมื่อประกาศแล้ว มีงบประมาณ ข้อกฎหมาย และอุปสรรคอะไรบ้าง เช่น เชียงรายที่มีฝุ่นไม่แพ้กัน สรุปจะเอาอย่างไร หรือจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่ผ่านมา ตนเองได้ขึ้นไปดูเขตไฟป่าที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยตนเอง ขณะนั้นเมื่อไล่ดูสถิติ พบว่า ปริมาณฝุ่นเกินค่ามาตรฐานมา 22 วันติดกันแล้ว แต่ยังไม่ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ เมื่อดูสถิติต่อเนื่องพบว่าค่าฝุ่นเกินมาตรฐานมาเกินสองสัปดาห์ ถ้าเป็นตนเองก็จะประกาศเขตภัยพิบัติเพื่อให้นักเรียนหยุด และให้คนเวิร์กฟอร์มโฮม ส่วนสถานการณ์ค่าฝุ่นในจังหวัดเชียงใหม่เกินค่ามาตรฐานมาเกือบ 50 วันแล้ว เพิ่งมาประกาศก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
เมื่อถามว่า ถือว่า การบริหารจัดการของรัฐล้มเหลวหรือไม่ เพราะมีผู้เสียชีวิตจากฝุ่น PM 2.5 นายพิธา ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของอาจารย์ 4 ท่าน ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผู้ป่วยด้วยโรค PM 2.5 มากขึ้นสามเท่า จะบอกว่าไม่น่าเป็นจริงหรือสถานการณ์จริงไม่แย่ขนาดนั้น หรือเป็นการทำรูปให้ดูไม่ดีนั้น ในมุมของนักท่องเที่ยวที่เคยพูดคุยด้วย ขอบอกว่าไม่ต้องกลัวนักท่องเที่ยวไม่มา กลัวนักท่องเที่ยวมองไม่เห็นมากกว่า ได้ข่าวว่ายอดการจองเหลือ 50% ซึ่งจะต้องไปดูข้อมูลอื่นว่ามีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวหรือไม่ โดยนักท่องเที่ยวเชียงใหม่ได้เล่าให้ตนเองฟังว่า นโยบายการท่องเที่ยวจะดีแค่ไหน หากไม่มีนโยบายรองรับเรื่องสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขก็ยาก 2 ปีแรกเชียงใหม่ซึม เพราะโควิด-19 ไม่ได้ซึม เพราะเชียงใหม่มีเสน่ห์น้อยลง แต่ปีที่ 3 และปีนี้กลับโดนเรื่อง PM 2.5
“ต่อให้มีการท่องเที่ยวหรือเฟสติวัลมากมาย แต่ไม่ได้เข้าใจว่าเรื่องเศรษฐกิจ สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องเดียวกัน ก็คงจะไม่สามารถแก้ปัญหา ปรากฏว่า ไม่ได้ทั้งสองอย่าง นักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ สิ่งแวดล้อมก็ไม่ได้ เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย”
นายพิธา มองว่า เป็นดุลพินิจของคนท่องเที่ยว เป็นคนที่ตัดสินใจเองว่าจะไปหรือไม่ไป รู้สึกเสียดายโอกาสที่ผ่านมา 3-4 ปีสงกรานต์เชียงใหม่ก็ยังซบเซา หากการบริหารจัดการล่วงหน้าตั้งแต่เดือน ม.ค. เราจะเห็นเทศกาลสงกรานต์ที่มีความสุขและคึกคักมากกว่านี้ จะต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเท่าที่ทำได้ เช่น การมีหน้ากากอนามัยที่เหมาะสมมากพอ การดูแลให้มีอุปกรณ์ภายในบ้าน เช่น เครื่องกรองฝุ่นที่ไม่แพงจนเกินไป สามารถใช้งบประมาณที่ประกาศเขตภัยพิบัติมาช่วยเหลือคนในพื้นที่ได้
นายพิธา กล่าวทิ้งท้ายว่า ตอนนี้ไม่ได้ห่วงนักท่องเที่ยว แต่ห่วงนักเรียน เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ ผู้ป่วยตามโรงพยาบาล เข้าใจว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะลงพื้นที่เพื่อเพิ่มกำลังคนและกำลังห้อง เพื่อให้หมอและพยาบาลไม่โอเวอร์โหลดจนเกินไปด้วย